ภาพประกอบ




โรคอ้วน : ปัญหาส่วนบุคคลหรือผลลัพธ์ของโครงสร้างสังคม?



ชวนตั้งคำถามก่อนอ่าน ??

          หากการลดน้ำหนักไม่ได้ขึ้นอยู่กับวินัยส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว โครงสร้างเมืองและนโยบายของรัฐมีบทบาทอย่างไรต่อการแก้ปัญหาโรคอ้วน?

          โรคอ้วนเป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบในหลายมิติ ไม่เพียงแต่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases - NCDs) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ แต่ยังส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และระบบสาธารณสุขโดยรวม ในปัจจุบัน ภาวะโรคอ้วนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตเมืองอย่างกรุงเทพมหานคร ซึ่งลักษณะทางกายภาพของเมือง โครงสร้างพื้นฐาน และวิถีชีวิตของประชาชนล้วนเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการเกิดภาวะอ้วนมากขึ้น การแก้ไขปัญหานี้จึงต้องดำเนินการในหลายระดับ ตั้งแต่การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อพฤติกรรมสุขภาพ การให้ความรู้ด้านโภชนาการและการออกกำลังกาย การกำหนดนโยบายสาธารณะที่เหมาะสม รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อสร้างระบบที่สนับสนุนให้ประชาชนสามารถมีสุขภาพที่ดีได้อย่างยั่งยืน



โรคอ้วนในกรุงเทพมหานคร: ความท้าทายเชิงโครงสร้างและแนวทางแก้ไข

          รองศาสตราจารย์ ดร. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาโรคอ้วนในกรุงเทพมหานครไม่ได้เป็นเพียงประเด็นด้านสุขภาพส่วนบุคคล แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับโครงสร้างของเมืองและระบบสาธารณสุขโดยรวม สภาพแวดล้อมในเมืองที่ไม่เอื้อต่อการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชากรเผชิญกับภาวะน้ำหนักเกิน จากโครงการ “ตรวจสุขภาพ 1 ล้านคน” ซึ่งกรุงเทพมหานครดำเนินการจนถึงปัจจุบัน ได้มีการตรวจสุขภาพประชาชนแล้วกว่า 520,000 คน พบว่า 34% ของผู้ตรวจมีภาวะอ้วน และ 25% มีภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ข้อมูลดังกล่าวเป็นสัญญาณเตือนว่าปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases - NCDs) กำลังกลายเป็นภาระสำคัญของระบบสาธารณสุขเมือง ดังนั้น การออกแบบพื้นที่ที่ส่งเสริมสุขภาพจึงต้องได้รับความสำคัญมากขึ้น ไม่ใช่เพียงมุ่งเน้นการรักษาพยาบาลเมื่อประชาชนป่วยแล้ว

          ดร. นายแพทย์ไรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เน้นย้ำว่า อัตราภาวะอ้วนของประชากรไทยสูงถึง 40% โดยเฉพาะในเด็กที่มีอัตราโรคอ้วนเพิ่มขึ้น 20% ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดปัญหานี้คือ พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสมและการใช้ชีวิตแบบเน้นการนั่งนิ่งมากขึ้น แนวทางแก้ไขที่มีประสิทธิภาพควรมุ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการรักษา ซึ่งหมายถึง การพัฒนาระบบอาหารที่มีคุณภาพ ควบคุมการตลาดของอาหารที่มีน้ำตาลสูง ลดการเข้าถึงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและขนมหวานในสถานศึกษา รวมถึงการปรับปรุงพื้นที่สาธารณะให้เอื้อต่อการออกกำลังกาย แนวทางเหล่านี้ต้องดำเนินการควบคู่ไปกับมาตรการรักษาพยาบาล เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในระดับโครงสร้าง

          ในภาคเอกชน นายเอ็นริโก คานาล บรูแลนด์ ผู้จัดการทั่วไปของบริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) กล่าวถึง โครงการระดับโลก Cities for Better Health ซึ่งเชื่อมโยง 45 เมืองทั่วโลก เพื่อพัฒนาแนวทางจัดการโรคอ้วนแบบบูรณาการ เนื่องจากโรคอ้วนเป็นภาวะที่ซับซ้อน ไม่สามารถแก้ไขได้เพียงจากความพยายามของบุคคลเท่านั้น แต่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อสร้างเมืองที่เอื้อต่อสุขภาพ และทำให้ประชาชนสามารถเลือกใช้ชีวิตที่ดีขึ้นได้ง่ายขึ้น โครงการนี้มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติที่ดีจากเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งอาจช่วยให้กรุงเทพมหานครสามารถพลิกสถานการณ์จากเมืองที่เผชิญกับภาวะโรคอ้วนรุนแรง ไปสู่เมืองต้นแบบด้านการจัดการสุขภาพของประชาชนในอนาคต



ประสบการณ์และแนวทางการแก้ไขปัญหาโรคอ้วนในวัยเด็ก

          คุณกฤตฤทธิ์ บุตรพรม (บิ๊กเอ็ม) นำเสนอประสบการณ์ส่วนตัวซึ่งสะท้อนถึงผลกระทบของภาวะโรคอ้วนที่มีต่อชีวิตประจำวัน โดยในวัยเด็กเคยมีน้ำหนักตัวมากถึง 120 กิโลกรัม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง เช่น การเจ็บป่วยบ่อย ทอนซิลอักเสบเรื้อรัง และการต้องพึ่งพายาแก้ปวดเป็นประจำ นอกจากนี้ ยังประสบปัญหาด้านบุคลิกภาพจากการถูกล้อเลียนและบูลลี่ในสังคม สิ่งเหล่านี้กลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดการตัดสินใจลดน้ำหนักอย่างจริงจัง ภายในระยะเวลา 3 เดือน สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 45 กิโลกรัม โดยใช้วิธี ควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเคร่งครัด หลักโภชนาการที่นำมาใช้ประกอบด้วย การเน้นรับประทานธัญพืช เนื้อปลา หลีกเลี่ยงของทอด ของหวาน และอาหารที่มีโซเดียมสูง หลังจากสามารถลดน้ำหนักได้สำเร็จ สุขภาพโดยรวมมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ไม่เจ็บป่วยบ่อย และมีความมั่นใจในตนเองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

          รองศาสตราจารย์ ดร. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เน้นย้ำว่า สุขภาพที่ดีเป็นผลลัพธ์ของ “นิสัย” มากกว่าการตัดสินใจแบบฉับพลัน โดยเปรียบเทียบพฤติกรรมของเด็กยุคก่อนกับเด็กในปัจจุบันว่า ในอดีตมีโอกาสใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉงมากกว่า เนื่องจากไม่มีปัจจัยทางเทคโนโลยี เช่น สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ที่ดึงดูดให้ใช้ชีวิตแบบนั่งนิ่งเป็นเวลานาน การปลูกฝังพฤติกรรมด้านสุขภาพที่ดีตั้งแต่วัยเด็ก เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในระดับครอบครัว โรงเรียน และสภาพแวดล้อมโดยรวม ไม่ใช่ความรับผิดชอบของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพียงลำพัง ในฐานะผู้บริหารเมือง ตระหนักถึงความจำเป็นในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการส่งเสริมสุขภาพ เช่น การพัฒนาทางเท้าที่สะดวกต่อการเดิน สร้างสวนสาธารณะ และเพิ่มพื้นที่สำหรับกิจกรรมทางกาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประชาชนในเมืองสามารถดูแลสุขภาพได้ง่ายขึ้น

          รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า สุขภาพของเด็กไม่ได้ถูกกำหนดจากพฤติกรรมของตัวเด็กเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและครอบครัวเป็นหลัก หากพ่อแม่สามารถปลูกฝังวินัยด้านสุขภาพตั้งแต่วัยเยาว์ เช่น การส่งเสริมให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และจำกัดปริมาณอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ จะช่วยลดโอกาสที่เด็กจะเข้าสู่วงจรของโรคอ้วนในระยะยาว นอกจากนี้ ระบบการศึกษาควรมีบทบาทมากกว่าการให้ความรู้ด้านสุขภาพเพียงอย่างเดียว โดยควรออกแบบกิจกรรมทางกายให้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร เช่น การเพิ่มกิจกรรมการเคลื่อนไหวในห้องเรียน และการกำหนดมาตรฐานอาหารกลางวันในโรงเรียนให้เหมาะสมกับภาวะโภชนาการของเด็ก การสร้างเสริมสุขภาพของเด็กจึงเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งครอบครัว โรงเรียน ชุมชน และภาครัฐ เพื่อให้เยาวชนเติบโตขึ้นมาโดยปราศจากปัญหาสุขภาพจากภาวะโรคอ้วนตั้งแต่วัยเยาว์



ผลกระทบของโรคอ้วนต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและแนวทางเชิงนโยบาย

          รองศาสตราจารย์ ดร. นพผล วิทย์วรพงศ์ จากศูนย์เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เน้นย้ำว่า โรคอ้วนไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสุขภาพส่วนบุคคล แต่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับมหภาค ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นจากโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะอ้วน เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ทำให้ภาครัฐต้องแบกรับงบประมาณด้านการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้น งานวิจัยระบุว่าประเทศที่มีอัตราการเกิดโรคอ้วนสูง มักต้องใช้จ่ายด้านสุขภาพมากกว่าประเทศที่ประชากรมีสุขภาพดี นอกจากนี้ การสูญเสียผลิตภาพแรงงาน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยตรง เนื่องจากผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินมักประสบปัญหาสุขภาพเรื้อรัง ทำให้มีวันลาเจ็บป่วยสูงขึ้นและอาจสูญเสียโอกาสทางอาชีพจากการถูกเลือกปฏิบัติในตลาดแรงงาน

          ดร. บวร ทรัพย์สิงห์ นักวิจัยจากสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า ปัญหาโรคอ้วนไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่สะท้อนถึงโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจที่เอื้อต่อวิถีชีวิตที่ส่งเสริมภาวะอ้วน ในปัจจุบัน อาหารแปรรูปและฟาสต์ฟู้ดมีราคาถูกและเข้าถึงง่ายกว่าสินค้าเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้ ระบบเมืองและโครงสร้างพื้นฐานไม่ได้เอื้อต่อการเคลื่อนไหวทางกาย ทำให้ประชาชน โดยเฉพาะในเขตเมือง มีแนวโน้มใช้ชีวิตแบบพึ่งพารถยนต์และขาดการออกกำลังกาย การแก้ปัญหานี้จำเป็นต้องดำเนินมาตรการเชิงเศรษฐศาสตร์ เช่น การเก็บภาษีน้ำตาลเพื่อควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง รวมถึงการออกนโยบายสนับสนุนให้ภาคเอกชนลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารสุขภาพ เพื่อลดอุปสรรคทางเศรษฐกิจที่ส่งเสริมพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคอ้วน

          ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภญ. ดร. นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าวถึง มิติของการควบคุมโรคอ้วนในระดับนโยบายสาธารณสุข โดยชี้ให้เห็นว่าหากไม่มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด โรคอ้วนจะกลายเป็นภาระหนักต่อระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจของประเทศ มาตรการสำคัญที่ควรดำเนินการ ได้แก่ การออกกฎหมายควบคุมการโฆษณาอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูง ซึ่งมักกำหนดเป้าหมายทางการตลาดไปยังเด็กและเยาวชน นอกจากนี้ ควรมีมาตรการสนับสนุนพฤติกรรมสุขภาพในสถานศึกษาและสถานที่ทำงาน เช่น การเพิ่มเวลาพักเพื่อให้พนักงานสามารถออกกำลังกาย การส่งเสริมทางเลือกอาหารเพื่อสุขภาพในโรงอาหาร และการสร้างแรงจูงใจทางภาษีสำหรับองค์กรที่ลงทุนในสวัสดิการด้านสุขภาพของพนักงาน การแก้ไขปัญหาโรคอ้วนอย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาสังคม เพื่อสร้างระบบที่เอื้อต่อสุขภาพของประชาชนในระยะยาว และลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับภาวะอ้วนอย่างยั่งยืน



บ้านสุขภาพ จุฬาฯ: แนวทางการจัดการโรคอ้วนในระดับชุมชน

          ดร. สุธาทิพย์ ทิสิฤกษ์ จากวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอแนวทางการจัดการโรคอ้วนในระดับชุมชนผ่านโครงการ “บ้านสุขภาพ จุฬาฯ” ซึ่งเป็นศูนย์กลางการให้บริการสุขภาพแบบองค์รวม ไม่เพียงเน้นเฉพาะการดูแลผู้ที่มีภาวะโรคอ้วน แต่ยังครอบคลุมการเสริมสร้างสุขภาพในทุกมิติให้แก่ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงและชุมชนโดยรอบ โครงการนี้จัดตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึง การให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ การตรวจสุขภาพเบื้องต้น การให้คำแนะนำด้านโภชนาการ และกิจกรรมออกกำลังกายที่เหมาะสม โดยยึดหลักการที่ว่า สุขภาพที่ดีไม่ได้เกิดจากกระบวนการรักษาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาจากการสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ยั่งยืน

          บ้านสุขภาพ จุฬาฯ ตั้งอยู่ในพื้นที่สวนหลวง และให้บริการแก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย ตั้งแต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตปทุมวัน ไปจนถึงประชาชนจากเขตชานเมือง เช่น มีนบุรี ลาดกระบัง และสายไหม ซึ่งเดินทางเข้ามาทำงานในพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน การดำเนินงานของโครงการนี้ครอบคลุม การติดตามภาวะสุขภาพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างปี พ.ศ. 2561 – 2567 มีผู้รับบริการแล้วกว่า 7,200 คน และมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิด พบว่าผู้เข้าร่วมโครงการที่มีภาวะน้ำหนักเกินสามารถลดน้ำหนักลงได้เฉลี่ย 3-5 กิโลกรัมภายในระยะเวลา 6 เดือน ผ่านแนวทางที่เน้น การให้คำแนะนำด้านโภชนาการที่เหมาะสมและกิจกรรมทางกายที่ออกแบบให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล ปัจจุบัน บ้านสุขภาพ จุฬาฯ เปิดให้บริการทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 09:00 – 18:00 น. โดยประชาชนสามารถเข้ามารับคำปรึกษาและเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสุขภาพได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการ สร้างสังคมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดีโดยไม่ต้องพึ่งพาเพียงระบบสาธารณสุขเชิงรักษา แต่เน้นการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพในระยะยาว



การรักษาโรคอ้วน: แนวทางที่ครอบคลุมและความสำเร็จของผู้ป่วย (Success Case Stories)

          ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (พิเศษ) แพทย์หญิงพัชญา บุญชยาอนันต์ เปิดประเด็นโดยเน้นย้ำว่า การรักษาโรคอ้วนไม่ใช่เพียงเรื่องของการลดน้ำหนัก แต่เป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและยกระดับคุณภาพชีวิตโดยรวม ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาส่วนใหญ่มักมีโรคเรื้อรังร่วมด้วย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว การรักษาจึงต้องดำเนินไปอย่างครอบคลุมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ตัวอย่างของผู้ป่วยหญิงวัย 45 ปี ซึ่งมีน้ำหนักตัวสูงถึง 120 กิโลกรัม และมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ได้รับการรักษาด้วย โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ยารักษาโรคอ้วน ส่งผลให้น้ำหนักลดลง 30 กิโลกรัมภายในหนึ่งปี และสามารถหยุดใช้ยาลดความดันโลหิตได้ กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่า การรักษาโรคอ้วนไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของตัวเลขบนตราชั่ง แต่เป็นการฟื้นฟูสุขภาพโดยรวมและลดความเสี่ยงของโรคร้ายแรงในระยะยาว

          รองศาสตราจารย์ (พิเศษ) นายแพทย์ภาฤทธิ์ เมฆอรุณกมล ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ แนวทางการใช้ยาลดน้ำหนัก สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว ปัจจุบัน การรักษาด้วยยามีการพัฒนาไปอย่างก้าวหน้า โดยมีตัวยาที่สามารถ ลดความอยากอาหารและควบคุมการดูดซึมพลังงานได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตาม การใช้ยาลดน้ำหนักต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ตัวอย่างกรณีของผู้ป่วยชายวัย 38 ปี ซึ่งมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) สูงถึง 40 และมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับรุนแรง ได้รับการรักษาด้วยยาและโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมภายใต้การดูแลของแพทย์ ส่งผลให้น้ำหนักลดลง 22 กิโลกรัมภายใน 8 เดือน และสามารถนอนหลับได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

          อาจารย์นายแพทย์ธนน คงเจริญบัติ กล่าวถึงอีกหนึ่งแนวทางที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วนรุนแรง นั่นคือ การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร (Bariatric Surgery) ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มี BMI สูงกว่า 35 และมีโรคร่วม ตัวอย่างผู้ป่วยชายวัย 19 ปี ซึ่งมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่วัยเด็ก พยายามลดน้ำหนักมานานกว่า 7 ปีแต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงได้รับการรักษาด้วย การส่องกล้องเย็บกระเพาะอาหาร (Endoscopic Sleeve Gastroplasty – ESG) ภายในหนึ่งปี น้ำหนักลดลงกว่า 25% และสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ การผ่าตัดนี้ไม่ได้เป็นเพียงทางลัดสำหรับการลดน้ำหนัก แต่เป็น เครื่องมือช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมปริมาณอาหารและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินในระยะยาว

          รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงนฤชา โรคาลอสาน กล่าวถึง มิติทางจิตวิทยาของโรคอ้วน โดยชี้ให้เห็นว่า ภาวะอ้วนมักเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางอารมณ์และจิตใจ เช่น ความเครียด ภาวะซึมเศร้า และความรู้สึกไม่มั่นคงทางจิตใจ ผู้ป่วยจำนวนมากใช้การรับประทานอาหารเป็นกลไกในการจัดการอารมณ์ ทำให้เกิดพฤติกรรมการกินที่ยากต่อการควบคุม ตัวอย่างของผู้ป่วยหญิงวัย 32 ปี ซึ่งมีปัญหาน้ำหนักเกินร่วมกับภาวะซึมเศร้า ได้รับการรักษาด้วย โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหารร่วมกับการบำบัดทางจิตวิทยา (Cognitive Behavioral Therapy – CBT) ซึ่งช่วยให้สามารถระบุและควบคุมปัจจัยทางอารมณ์ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการกิน หลังจากการรักษาเป็นระยะเวลา 12 เดือน น้ำหนักลดลง 18 กิโลกรัม พร้อมกับการพัฒนาด้านสุขภาพจิตที่ดีขึ้น

          ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงธนินี สหกิจรุ่งเรือง กล่าวถึงกรณีของ ผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะอ้วนและโรคร่วม เช่น ข้อเสื่อมและโรคหัวใจ ตัวอย่างของผู้ป่วยอายุ 58 ปี น้ำหนักตัวมากกว่า 110 กิโลกรัม ส่งผลให้ต้องใช้รถเข็นเนื่องจากข้อต่อรับน้ำหนักไม่ไหว หลังจากได้รับการรักษาแบบผสมผสาน ซึ่งประกอบด้วย กายภาพบำบัด โภชนาการบำบัด และโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสม น้ำหนักลดลง 28 กิโลกรัมภายในหนึ่งปี และสามารถกลับมาเดินได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยพยุง การลดน้ำหนักไม่ได้ช่วยเพียงแค่ลดภาระต่อข้อต่อ แต่ยังช่วยให้สุขภาพหัวใจดีขึ้น และลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง

          นายแพทย์ฐานันดร ฉัตรสุทัศน์ ปิดท้ายด้วยการเน้นว่า ความสำเร็จในการลดน้ำหนักไม่ได้เกิดขึ้นจากการรักษาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยระบบสนับสนุนจากครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม หนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจคือ ผู้ป่วยชายวัย 35 ปี ซึ่งเคยมีน้ำหนักตัวมากกว่า 140 กิโลกรัม ได้รับการรักษาด้วยการออกกำลังกายและโภชนาการที่เหมาะสม แม้ในช่วงแรกจะมีปัญหาด้านแรงจูงใจ แต่เมื่อได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวและเข้าร่วมกลุ่มดูแลสุขภาพ น้ำหนักลดลงถึง 50 กิโลกรัมภายในสองปี และสามารถรักษาสุขภาพได้อย่างยั่งยืน กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่า การรักษาโรคอ้วนไม่ใช่แค่เรื่องของการแพทย์ แต่เป็นการสร้างระบบที่สนับสนุนให้ประชาชนมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีและสามารถดูแลตนเองได้ในระยะยาว

เคล็ดไม่ลับอาหารลดน้ำหนัก: กินอาหารตามเทรนด์ (คีโต, IF) ดีไหม?

          รองศาสตราจารย์ นายแพทย์นริศ ลักขณานุรักษ์ จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า แนวทางการลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เช่น Ketogenic Diet (คีโตเจนิค) และ Intermittent Fasting (IF) มีหลักการที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองวิธีมีจุดร่วมคือการควบคุมพลังงานที่ได้รับเพื่อกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกาย การรับประทานอาหารแบบคีโตเจนิคเป็นแนวทางที่จำกัดการบริโภคคาร์โบไฮเดรตอย่างเข้มงวด และแทนที่ด้วยไขมันเป็นพลังงานหลัก ทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะ คีโตซิส (Ketosis) ซึ่งช่วยให้เผาผลาญไขมันได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังที่ควรพิจารณา เช่น ระดับไขมัน LDL ที่อาจเพิ่มขึ้น ภาวะขาดสารอาหาร และผลข้างเคียงของภาวะคีโตฟลู (Keto Flu) ซึ่งอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลียในช่วงแรกของการปรับตัว ขณะที่แนวทาง Intermittent Fasting (IF) เป็นการกำหนดช่วงเวลารับประทานอาหาร เช่น รูปแบบ 16/8 (อดอาหาร 16 ชั่วโมง และรับประทานในช่วง 8 ชั่วโมง) ซึ่งสามารถช่วยลดปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับและปรับสมดุลของระดับอินซูลิน อย่างไรก็ตาม หากเลือกรับประทานอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการในช่วงที่กำหนด อาจไม่ได้รับประโยชน์ตามที่คาดหวัง

           นายสมิทธิ โชติศรีลือชา นายกสมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย เสริมว่า การเลือกแนวทางลดน้ำหนักที่เหมาะสมควรคำนึงถึงปัจจัยด้านสุขภาพและความยั่งยืนในระยะยาว โดยเฉพาะการรักษาสมดุลของสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารแบบคีโตหรือ IF หากไม่สามารถรักษาวินัยในการบริโภคอาหารได้อย่างต่อเนื่อง หรือหากทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ อาจเป็นอันตรายมากกว่าประโยชน์ ดังนั้น วิธีการลดน้ำหนักที่ปลอดภัยและได้ผลดี ควรเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับวิถีชีวิต เช่น การลดปริมาณน้ำตาล หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป เน้นการบริโภคโปรตีน ไขมันที่ดีต่อสุขภาพ และออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย แนวทางที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินตามกระแส แต่ต้องเป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอย่างสมดุล และสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีและการควบคุมน้ำหนักอย่างยั่งยืน



กินดี วิถีไทย

          ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต อธิบายว่า อาหารไทยดั้งเดิมเป็นรูปแบบการบริโภคที่เอื้อต่อสุขภาพและการควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากมีความหลากหลายของวัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น ผักพื้นบ้าน สมุนไพร เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และอาหารทะเล ซึ่งให้สารอาหารที่ครบถ้วนโดยไม่ต้องพึ่งพาอาหารแปรรูปหรือเครื่องปรุงที่มีโซเดียมและน้ำตาลสูง อาหารไทยในอดีตมีลักษณะเฉพาะที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ เช่น สำรับอาหารที่ประกอบด้วยข้าว น้ำพริก ผักต้ม และปลา ซึ่งให้พลังงานที่สมดุล มีเส้นใยอาหารสูง และช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วน รวมถึงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases – NCDs)

          อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตในปัจจุบันส่งผลให้พฤติกรรมการบริโภคของคนไทยเปลี่ยนไป นิยมรับประทานอาหารจานด่วนและอาหารแปรรูปมากขึ้น ซึ่งมีปริมาณไขมัน น้ำตาล และโซเดียมสูงเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ อาหารประเภทนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงของภาวะโรคอ้วนและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง เพื่อรักษาสุขภาพและควบคุมน้ำหนัก ควรเลือกรับประทานอาหารไทยที่มีประโยชน์ เช่น แกงเลียง แกงป่า ต้มยำ หรืออาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการทอดและมีการปรุงแต่งน้อย ควรลดการบริโภคน้ำตาลและเกลือ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง และเลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติให้มากขึ้น เพื่อให้แนวทางการบริโภคเป็นไปตามหลักโภชนาการที่ดีและสอดคล้องกับวิถีไทยอย่างแท้จริง



รู้ทันอันตรายจากโฆษณาผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก

           ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภญ. ดร. สุนทรี ทับทิมไทยชัยสัมฤทธิ์โชค เตือนถึงอันตรายของผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักที่มีการโฆษณาเกินจริง โดยเฉพาะในยุคโซเชียลมีเดีย ซึ่งผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้ง่ายขึ้น หลายผลิตภัณฑ์มักอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น การลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องออกกำลังกาย ไม่มีผลข้างเคียง หรือไม่ทำให้เกิดภาวะโยโย่เอฟเฟกต์ ทั้งที่ในความเป็นจริง ยาลดน้ำหนักบางชนิดอาจมีสารต้องห้ามที่เป็นอันตราย เช่น ไซบูทรามีน (Sibutramine) ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบประสาทและหัวใจ เพิ่มความเสี่ยงของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและความดันโลหิตสูง อีกทั้งผลิตภัณฑ์บางประเภทมีการใช้สารขับปัสสาวะหรือยาระบายเป็นส่วนผสมหลัก ทำให้น้ำหนักลดลงในช่วงแรก แต่เป็นเพียงการสูญเสียน้ำในร่างกาย ไม่ใช่ไขมัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว

           เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการซื้อผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักที่ไม่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รวมถึงหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีฉลากกำกับรายละเอียดอย่างชัดเจน การลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพควรอาศัยวิธีที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น การควบคุมอาหารที่เหมาะสม ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตถือเป็นแนวทางที่ยั่งยืนและลดความเสี่ยงของผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าการพึ่งพาผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักที่อาจเป็นอันตราย



การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี และการออกกำลังกายในผู้ที่มีภาวะอ้วน

           ศาสตราจารย์ ดร. ดรุณวรรณ สุขสม อธิบายว่า การออกกำลังกายเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมน้ำหนักและเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม ไม่เพียงแต่ช่วยเผาผลาญพลังงาน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการปรับสมดุลของระบบเผาผลาญ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สำหรับผู้ที่มีภาวะอ้วน การเลือกประเภทของการออกกำลังกายมีความสำคัญอย่างยิ่ง ควรเริ่มต้นด้วย กิจกรรมที่มีแรงกระแทกต่ำ (Low-Impact Exercise) เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือโยคะ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของข้อต่อและหัวเข่า นอกจากนี้ ควรปรับระดับความเข้มข้นของการออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย

           การออกกำลังกายแบบ เวทเทรนนิ่ง (Weight Training) ยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกายในระยะยาว การฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อควรดำเนินการควบคู่กับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการลดน้ำหนักและเพิ่มความแข็งแรงของระบบไหลเวียนโลหิต การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งควบคุมโภชนาการที่เหมาะสม และกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการดูแลสุขภาพ จะช่วยให้กระบวนการลดน้ำหนักมีความยั่งยืนมากขึ้น รวมถึงลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะอ้วนในระยะยาวอีกด้วย



สุขภาพจิตกับการลดน้ำหนัก

           อาจารย์นายแพทย์เหมือนเพชร ราชายนต์ จากภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า สุขภาพจิตมีความสัมพันธ์โดยตรงกับกระบวนการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภาวะโรคอ้วน ผู้ที่เผชิญกับความเครียดสูงหรือภาวะซึมเศร้ามักมีแนวโน้มใช้พฤติกรรมการรับประทานอาหารเป็นกลไกในการจัดการอารมณ์ เช่น การรับประทานอาหารที่ให้ความรู้สึกสบาย (Comfort Eating) หรือการบริโภคอาหารตามอารมณ์ (Emotional Eating) ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้มักนำไปสู่การบริโภคอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลและไขมันสูง ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ การลดน้ำหนักที่มีความเข้มงวดมากเกินไป หรือการตั้งเป้าหมายที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง อาจก่อให้เกิดความเครียดและความรู้สึกท้อแท้หากไม่สามารถบรรลุผลได้ตามที่คาดหวัง ดังนั้น การมีสุขภาพจิตที่ดีจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้กระบวนการลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพและสามารถดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน

           ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. กุลยา พิสิฐสังฆการ จากคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า การจัดการอารมณ์และพฤติกรรมมีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จในการลดน้ำหนัก โดยแนะนำเทคนิคทางจิตวิทยาที่สามารถช่วยให้กระบวนการลดน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ การฝึกสติขณะรับประทานอาหาร (Mindful Eating) ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมการบริโภคอาหารได้ดียิ่งขึ้น ลดพฤติกรรมการรับประทานอาหารตามอารมณ์ และเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับความต้องการของร่างกาย นอกจากนี้ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อพฤติกรรมสุขภาพ เช่น การรับประทานอาหารร่วมกับบุคคลที่มีพฤติกรรมการกินที่ดี หรือการเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนที่ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญที่เน้นย้ำคือ การลดน้ำหนักที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่การควบคุมอาหารและการออกกำลังกายเท่านั้น แต่ต้องอาศัยการดูแลสุขภาพจิตควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืนและปราศจากผลกระทบทางจิตใจ

           ปัญหาโรคอ้วนไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของพฤติกรรมส่วนบุคคล แต่เป็นผลลัพธ์ของระบบที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตในลักษณะที่นำไปสู่ภาวะน้ำหนักเกิน การแก้ไขปัญหานี้จึงต้องอาศัยแนวทางเชิงโครงสร้างควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชน การพัฒนาเมืองที่ส่งเสริมการออกกำลังกาย การปรับปรุงระบบอาหารที่เข้าถึงได้ง่ายและมีคุณค่าทางโภชนาการ การควบคุมการตลาดอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ตลอดจนการกำหนดนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ ล้วนเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยลดอัตราการเกิดโรคอ้วนได้อย่างเป็นรูปธรรม

นอกจากนี้ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม มีบทบาทสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพของประชาชน การแก้ไขปัญหาโรคอ้วนอย่างเป็นระบบจะช่วยลดภาระของระบบสาธารณสุข และส่งเสริมให้ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่สังคมที่มีสุขภาวะที่ดีและความยั่งยืนในระยะยาว

สังเคราะห์และเรียบเรียงจาก:

  • งาน World Obesity Day 2025 วันคนอ้วนโลก ภายใต้แนวคิด "Changing Systems, Healthier Lives" เพราะสุขภาพที่ดี ไม่ได้เริ่มจากตัวเราเพียงคนเดียว แต่ต้องเกิดจากระบบที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ โดยโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย x จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

  • วันที่ 1 มีนาคม 2568
    ณ​ SIAMSCAPE ชั้น 9