ภาพประกอบ




การเงินเพื่อการอนุรักษ์ : กลไกขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อธรรมชาติและมนุษยชาติ



ชวนตั้งคำถามก่อนอ่าน ??

          ถ้าเงินทุกบาทสามารถเป็นพลังปกป้องโลกได้—เราจะยอมจ่ายให้ธรรมชาติเพียงพอหรือยัง?

          ในยุคปัจจุบัน โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นในอัตราที่น่าตกใจ  สาเหตุหลักมาจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศ  การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อขยายพื้นที่เกษตรกรรมและการพัฒนาเมืองทำให้สัตว์ป่าขาดที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหาร  นอกจากนี้ การล่าสัตว์เพื่อการค้าและบริโภคยังเพิ่มความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ของสายพันธุ์ต่าง ๆ  การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่งผลให้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น เช่น ไฟป่าและภัยแล้ง ซึ่งทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต  จากรายงานของสหประชาชาติ พบว่าสิ่งมีชีวิตกว่า 1 ล้านสายพันธุ์กำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ภายในไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า  สถานการณ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่กระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ยังส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของมนุษยชาติ ดังนั้น การจัดการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติจึงเป็นสิ่งจำเป็นและเร่งด่วน 


การเงินเพื่อการอนุรักษ์: เปลี่ยนจากต้นทุนสู่การลงทุน

          โลกในปัจจุบันกำลังเผชิญกับวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ล้วนเป็นผลพวงจากการใช้ประโยชน์อย่างไม่ยั่งยืนของมนุษย์ ในขณะเดียวกัน เศรษฐกิจของโลกยังคงพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ป่าไม้ทำหน้าที่เป็นปอดของโลก คอยดูดซับคาร์บอนและสร้างความสมดุลของสภาพอากาศ ระบบน้ำจืดเป็นแหล่งหล่อเลี้ยงภาคเกษตรกรรม ขณะที่แนวปะการังเป็นรากฐานสำคัญของระบบนิเวศทางทะเลและอุตสาหกรรมประมง หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม ทรัพยากรเหล่านี้จะค่อย ๆ ลดลง และท้ายที่สุด มนุษย์เองจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง

          แนวคิด “ทุนทางธรรมชาติ” (Natural Capital) จึงถูกนำมาใช้เพื่อชี้ให้เห็นว่าธรรมชาติไม่ได้เป็นเพียงสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเรา แต่เป็น สินทรัพย์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ และสามารถให้ผลตอบแทนหากได้รับการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม มีการประเมินว่า มากกว่า 50% ของ GDP โลกขึ้นอยู่กับระบบนิเวศที่สมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ที่ช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก แหล่งน้ำที่ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค และแหล่งทรัพยากรทางทะเลที่เป็นฐานของอุตสาหกรรมอาหาร อย่างไรก็ตาม ระบบเศรษฐกิจและการจัดการทางการเงินในปัจจุบันยังคงมองว่าการอนุรักษ์เป็น ต้นทุน มากกว่าการลงทุนที่สามารถสร้างมูลค่าได้ในระยะยาว

          งบประมาณที่ใช้เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในแต่ละปีมักไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น หลายประเทศใช้งบประมาณรัฐไปกับโครงการที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าการลงทุนในโครงการอนุรักษ์ ตัวอย่างเช่น เงินอุดหนุนภาคเกษตรที่ส่งเสริมการใช้สารเคมีอย่างหนัก ซึ่งอาจเพิ่มผลผลิตในระยะสั้น แต่ทำลายหน้าดินและแหล่งน้ำในระยะยาว หรือ การสนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิล ที่ยังคงได้รับเงินอุดหนุนในหลายประเทศ แม้ว่าจะเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

          เมื่อมองในมุมของการจัดการงบประมาณในระดับประเทศ จะเห็นว่าการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินยังไม่สะท้อนความสำคัญของธรรมชาติและระบบนิเวศที่หล่อเลี้ยงมนุษย์ ในหลายกรณี งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์มักจะถูกลดลงก่อนเป็นลำดับแรกเมื่อเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ การจัดลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายจึงเป็นโจทย์สำคัญ ของรัฐบาลและภาคธุรกิจในการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ

          Green Finance หรือการเงินที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงเป็นแนวทางที่จำเป็นในการปรับโครงสร้างการจัดการงบประมาณให้คำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศ ซึ่งหมายถึงการ นำเครื่องมือทางการเงินและนโยบายการคลังมาสนับสนุนกิจกรรมที่ส่งเสริมความยั่งยืน แทนที่จะให้เงินอุดหนุนแก่โครงการที่สร้างความเสียหายต่อธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น การออก Green Bonds หรือพันธบัตรเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่ระดมทุนไปสู่โครงการอนุรักษ์ป่าไม้ พลังงานสะอาด หรือโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

          เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนระหว่างการลงทุนเพื่ออนุรักษ์และต้นทุนของการฟื้นฟูระบบนิเวศที่ถูกทำลาย ตัวเลขชี้ให้เห็นว่า การป้องกันและดูแลธรรมชาติตั้งแต่วันนี้มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าการฟื้นฟูในอนาคตหลายเท่าตัว การปล่อยให้ป่าไม้ถูกทำลายไปจนถึงจุดที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้ หรือปล่อยให้สายพันธุ์ต่าง ๆ สูญพันธุ์ไป จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารและระบบเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

          ดังนั้น การเงินเพื่อการอนุรักษ์จึงต้องถูกมองว่าเป็น “การลงทุนเพื่ออนาคต” แทนที่จะเป็นต้นทุน การออกแบบกลไกทางการเงินที่สามารถสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจและภาคเอกชนหันมาสนับสนุนการอนุรักษ์ เช่น การลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจที่มีแนวปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนชุมชนที่ดูแลป่าไม้และแหล่งน้ำ ล้วนเป็นมาตรการที่สามารถช่วยปรับสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการดูแลสิ่งแวดล้อมได้
          การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางการเงินเพื่อให้สนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไม่ใช่เพียงเรื่องของรัฐบาลหรือองค์กรสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมถึงประชาชนที่เป็นผู้บริโภค หากสังคมสามารถมองเห็นความสำคัญของการลงทุนในธรรมชาติ และสร้างกลไกทางการเงินที่เอื้อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ โลกก็จะสามารถก้าวไปสู่อนาคตที่เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมเติบโตไปพร้อมกัน โดยไม่มีฝ่ายใดต้องเสียสละอีกต่อไป



กลไกทางการเงินเพื่อการอนุรักษ์ : โอกาสในการสร้างความยั่งยืน

          ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายทางสิ่งแวดล้อมและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การสร้าง กลไกทางการเงินเพื่อการอนุรักษ์ ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ กลไกเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยระดมทุนสำหรับโครงการอนุรักษ์ แต่ยังสร้างแรงจูงใจให้ภาคส่วนต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการปกป้องสิ่งแวดล้อม

  • 1. การออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Bonds)  – ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน เช่น Green Bonds และ Sustainability Bonds เป็นเครื่องมือทางการเงินที่องค์กรหรือรัฐบาลออกเพื่อระดมทุนสำหรับโครงการที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคม ตัวอย่างเช่น การออก ‘Nature Bond’ ซึ่งเป็นตราสารหนี้ที่นำเงินทุนจากนักลงทุนมาใช้สนับสนุนโครงการอนุรักษ์ธรรมชาติ เช่น การฟื้นฟูป่าไม้หรือการปกป้องสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ การใช้ตราสารเหล่านี้ช่วยให้องค์กรสามารถเข้าถึงแหล่งทุนด้วยเงื่อนไขที่ดีกว่า และยังส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีในด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม   
  • 2. การลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG Investing) –  การลงทุนที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) กำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนทางการเงินควบคู่กับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม กองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Mutual Funds) มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินงานด้าน ESG ที่โดดเด่น หรือมีธุรกิจที่สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน การลงทุนในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ผู้ลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทน แต่ยังช่วยกำหนดแนวทางให้บริษัทต่าง ๆ ปรับปรุงการดำเนินงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานความยั่งยืน  
  • 3. การพัฒนามาตรฐานและฐานข้อมูลเพื่อความโปร่งใส  – การมีมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และการสร้างฐานข้อมูลที่เป็นระบบและเข้าถึงได้ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ทุกกิจกรรมเพื่อความยั่งยืนมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ มาตรฐานดังกล่าวช่วยลดข้อโต้แย้งและสนับสนุนให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อความยั่งยืนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การมีฐานข้อมูลที่เป็นระบบยังช่วยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถใช้เป็นฐานอ้างอิงในการพัฒนากิจกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างชัดเจนมากขึ้น  
  • 4. การสนับสนุนจากภาครัฐและการสร้างแรงจูงใจ – ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการสร้างแรงจูงใจที่ส่งเสริมการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือการสนับสนุนทางการเงินสำหรับธุรกิจที่มีการดำเนินงานด้านความยั่งยืน นอกจากนี้ การพัฒนาโครงสร้างทางการเงินที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) และการสร้างกลไกความโปร่งใสในการดำเนินงาน ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการอนุรักษ์และความยั่งยืนในระยะยาว

        การนำกลไกทางการเงินเหล่านี้มาใช้ ไม่เพียงแต่ช่วยระดมทุนสำหรับโครงการอนุรักษ์ แต่ยังสร้างความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ในการปกป้องสิ่งแวดล้อม การมีมาตรการทางการเงินที่ชัดเจนและโปร่งใส ช่วยให้การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเป็นไปอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น



ความท้าทายและโอกาสในการขับเคลื่อนระบบการเงินเพื่อการอนุรักษ์

          การขับเคลื่อนระบบการเงินเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นภารกิจที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการที่ต้องการการแก้ไขอย่างรอบคอบ


          ความท้าทายในการขับเคลื่อนระบบการเงินเพื่อการอนุรักษ์
  • 1. การจัดสรรงบประมาณที่ไม่เพียงพอและไม่สมดุล – แม้ว่าพื้นที่ป่าอนุรักษ์ในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นทุกปี แต่การจัดสรรงบประมาณและกำลังเจ้าหน้าที่กลับไม่สอดคล้องกับความต้องการในการดูแลรักษา ปัญหาการบุกรุกป่าและการลักลอบฆ่าสัตว์ป่ายังคงเกิดขึ้น เนื่องจากงบประมาณและทรัพยากรที่จำกัด
  • 2. การขาดความร่วมมือระหว่างภาคส่วน – การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน อย่างไรก็ตาม การประสานงานและการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานยังคงเป็นปัญหา ทำให้การดำเนินโครงการอนุรักษ์ไม่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
  • 3. การขาดแคลนแรงงานและกำลังซื้อในประเทศ – การขาดแคลนแรงงานในอนาคตส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศลดลง ซึ่งอาจทำให้การลงทุนในโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ การขยายตลาดต่างประเทศยังเป็นความท้าทายสำคัญ เนื่องจากส่วนแบ่งตลาดส่งออกสินค้าของไทยในตลาดโลกลดลง

โอกาสในการขับเคลื่อนระบบการเงินเพื่อการอนุรักษ์


  • 1. การพัฒนากลไกทางการเงินใหม่ ๆ การนำเสนอเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ เช่น ‘Nature Bond’ หรือ ‘Green Bond’ ช่วยระดมทุนสำหรับโครงการอนุรักษ์ธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ‘Rhino Bond’ ที่นำเงินจากนักลงทุนมาใช้สนับสนุนการอนุรักษ์แรดในแอฟริกา
  • 2. การส่งเสริมการลงทุนที่ยั่งยืน การลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) กำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุน การส่งเสริมการลงทุนประเภทนี้สามารถช่วยสนับสนุนโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้
  • 3. การสนับสนุนจากภาครัฐและการสร้างแรงจูงใจ ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการสร้างแรงจูงใจที่ส่งเสริมการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือการสนับสนุนทางการเงินสำหรับธุรกิจที่มีการดำเนินงานด้านความยั่งยืน

           การเงินเพือการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้โลกสามารถรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการปกป้องระบบนิเวศที่หล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนแนวทางนี้ยังคงเผชิญกับอุปสรรค ทั้งในด้านงบประมาณที่จำกัด โครงสร้างนโยบายที่ไม่เอื้อต่อการลงทุนเพื่อความยั่งยืน และการขาดความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ในขณะเดียวกัน โอกาสใหม่ ๆ กำลังก่อร่างขึ้นผ่านการพัฒนากลไกทางการเงินที่สามารถดึงดูดการลงทุน เช่น ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Bonds), การลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG Investing), และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งช่วยให้เงินทุนสามารถไหลเวียนไปสู่โครงการที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อธรรมชาติและสังคม

           การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางการเงินที่เน้นการอนุรักษ์เป็นมากกว่าความรับผิดชอบทางศีลธรรม—แต่มันคือ การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาว ทั้งในแง่ของเศรษฐกิจที่มั่นคง สังคมที่มีคุณภาพ และสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์ หากทุกภาคส่วนสามารถร่วมมือกันเพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางการจัดการเงินทุน จากมุมมองที่มองว่าการอนุรักษ์เป็นต้นทุน ไปสู่การมองว่าเป็นการลงทุน เราจะสามารถสร้างระบบที่ช่วยให้มนุษย์และธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน


           ดังนั้น การเผชิญกับความท้าทายและการใช้ประโยชน์จากโอกาสที่มีอยู่จะช่วยให้ระบบการเงินเพื่อการอนุรักษ์สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนต่อทั้งโลกและมนุษยชาติ

สังเคราะห์และเรียบเรียงจาก:

  • สังเคราะห์และเรียบเรียงจาก: งานวันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก ประจำปี 2568 “Wildlife Conservation Finance : Investing in People and Planet การเงินสำหรับ การอนุรักษ์สัตว์ป่าและพืชป่า ลงทุนเพื่อปกป้องมนุษยชาติและโลก”
    โดย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

  • วันที่ 3 มีนาคม 2568
    ณ​ ลานกิจกรรม ชั้น 1 อาคารสืบ นาคะเสถียร กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช