ผลกระทบเชิงโครงสร้างจากนโยบายการค้าโลก : สัญญาณเตือนเศรษฐกิจไทยในโลกที่ไม่แน่นอน
Highlight
-
ช็อคเชิงโครงสร้าง” ไม่ได้มาเพียงชั่วคราว แต่มากับการเปลี่ยนสมดุลของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว
มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ คือการประกาศปรับทิศทางเศรษฐกิจจากรากฐาน ซึ่งประเทศที่พึ่งพาการส่งออกอย่างไทยไม่อาจนิ่งเฉยได้
-
5 ช่องทางผลกระทบ: เมื่อไทยต้องตั้งรับทั้งการเงิน การลงทุน ภาษี การแข่งขัน และเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนไป
ตั้งแต่ความผันผวนของค่าเงิน จนถึงสินค้าต้นทุนต่ำทะลักตลาด ทั้งหมดล้วนคือแรงกดดันที่กระทบเศรษฐกิจไทยแบบซ้อนชั้น
-
ทางรอดของไทยไม่ใช่การรอคลื่นลมสงบ แต่คือการยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจให้ “แข็งแรงกว่าเดิม”
the SPACE ชวนมองการปรับตัวของประเทศไทยในฐานะ “ผู้เล่นรายสำคัญในโลกที่ไร้เสถียรภาพ”
ชวนตั้งคำถามก่อนอ่าน ??
หากโลกการค้าไม่กลับไปเหมือนเดิม ไทยควรวางหมากอนาคตทางเศรษฐกิจไว้ตรงไหน?
ในโลกที่เศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลันและรุนแรง การกำหนดนโยบายการค้าโดยชาติมหาอำนาจได้กลายเป็นแรงเหวี่ยงใหม่ที่ส่งผลลึกถึงโครงสร้างเศรษฐกิจระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาภายใต้บริบทของการแก้ไขปัญหาดุลการค้าและการสร้างอุตสาหกรรมในประเทศ ได้ก่อให้เกิด “ช็อคเชิงโครงสร้าง” ที่มีผลยาวนานและไม่อาจมองข้ามได้
สำหรับประเทศไทย หนึ่งในประเทศที่พึ่งพาการค้าและการส่งออกในระดับสูง การเปลี่ยนแปลงนโยบายเช่นนี้ไม่เพียงเป็นประเด็นระยะสั้น แต่เป็นการเปลี่ยนจุดสมดุลของเศรษฐกิจในระดับลึก เนื้อหาต่อไปนี้คือการวิเคราะห์และสังเคราะห์สาระสำคัญจากการบรรยายของผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งได้นำเสนอในเวที Media Briefing เมื่อเดือนเมษายน 2568 โดยมุ่งวิเคราะห์ผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของนโยบายภาษีสหรัฐที่มีต่อเศรษฐกิจไทย พร้อมแนวทางการรับมือที่ต้องดำเนินการอย่างมียุทธศาสตร์
โลกการค้าใหม่: จากช็อคระยะสั้นสู่โครงสร้างระยะยาว
การปรับนโยบายการค้าโลกในช่วงปี 2568 โดยเฉพาะการดำเนินมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ของแรงกดดันทางการเมืองหรือปัญหาการขาดดุลการค้าในระยะสั้น หากแต่เป็นการส่งสัญญาณถึงการเคลื่อนย้ายจุดสมดุลใหม่ของเศรษฐกิจโลก โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการลดการพึ่งพาการนำเข้าและเสริมสร้างฐานการผลิตภายในประเทศ นโยบายเหล่านี้จึงไม่ใช่ช็อคเพียงชั่วคราว แต่เป็น “ช็อคเชิงโครงสร้าง” ที่จะฝังอยู่ในระบบเศรษฐกิจโลกอีกยาวนาน และมีอิทธิพลต่อรูปแบบของห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในบริบทของประเทศไทย ซึ่งมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะกับกลุ่มประเทศอาเซียน รวมถึงไทย ทำให้กลายเป็นจุดเป้าหมายของมาตรการภาษีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเข้าสู่ “ยุคใหม่ของโลกการค้า” จึงหมายถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องหาทางปรับตัวใหม่ในระดับรากฐาน มิใช่เพียงการตอบสนองเชิงนโยบายเฉพาะหน้า
ห้าช่องทางผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
ภายใต้วิกฤตการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายการค้าโลกในปี 2568 ประเทศไทยในฐานะเศรษฐกิจที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศอย่างแนบแน่น จำเป็นต้องเผชิญกับผลกระทบหลากหลายมิติที่ส่งผ่านเข้ามาอย่างซับซ้อนและลึกซึ้ง การประเมินผลกระทบเบื้องต้นจากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ให้เห็นถึง “ห้าช่องทางหลัก” ที่เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบ ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยผลกระทบเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงด้านการค้า หากแต่แผ่ขยายครอบคลุมถึงเสถียรภาพทางการเงิน การลงทุน โครงสร้างภาษี การแข่งขันระหว่างประเทศ และภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวม
การวิเคราะห์ทั้งห้าช่องทางดังกล่าวช่วยให้สามารถแยกแยะต้นเหตุและกลไกของผลกระทบแต่ละมิติได้อย่างชัดเจน และเป็นฐานข้อมูลสำคัญในการกำหนดมาตรการเชิงรุกและเชิงรับในระยะต่อไป โดยช่องทางเหล่านี้ประกอบด้วยความผันผวนในตลาดการเงินที่เกิดขึ้นทันทีหลังการประกาศนโยบาย, การชะลอตัวของการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเป้าหมาย, ภาระภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นและส่งผลย้อนกลับสู่จีดีพีของประเทศ, การแข่งขันจากสินค้าต้นทุนต่ำในประเทศที่สาม และสุดท้ายคือแรงเสียดทานจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะมีรายละเอียดแตกต่างกันไปในแต่ละมิติ ทั้งในด้านความลึก ความเร็ว และระยะเวลาของผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
- ช่องทางที่ 1 ตลาดการเงิน: ความผันผวนที่เริ่มต้นแล้ว
– หนึ่งในผลกระทบที่ปรากฏอย่างรวดเร็วหลังการประกาศนโยบายภาษีนำเข้าเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 คือความผันผวนในตลาดการเงินโลก นักลงทุนตอบสนองต่อความไม่แน่นอนด้วยการเทขายสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น และหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย
เช่น ทองคำ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ขณะที่เงินบาทและเงินสกุลเอเชียแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้เศรษฐกิจไทยยังสามารถรักษาเสถียรภาพได้ดีจากการมีทุนสำรองสูงและหนี้ต่างประเทศต่ำ แต่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ส่งออกไปสหรัฐฯ
อาจเผชิญความเสี่ยงด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้น และจำเป็นต้องได้รับการดูแลในเชิงการเงินอย่างใกล้ชิด
- ช่องทางที่ 2 การลงทุน: สัญญาณชะลอจากอุตสาหกรรมเป้าหมาย – กลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐอเมริกา
เช่น อาหารแปรรูป เครื่องจักร ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมกันคิดเป็นประมาณ 15% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย เริ่มส่งสัญญาณการชะลอการลงทุน โดยเฉพาะการตัดสินใจชะลอโครงการลงทุนใหม่ระหว่างรอความชัดเจนของมาตรการภาษีภายในกรอบเวลา
90 วัน ผู้ประกอบการบางรายระบุชัดว่าจำเป็นต้องทบทวนแผนธุรกิจและเลื่อนกระบวนการผลิตออกไป ส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อเม็ดเงินลงทุนในระบบเศรษฐกิจ โดยข้อมูลจาก BOI พบว่าเม็ดเงินที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้มีมูลค่าประมาณ 70,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นราว 3% ของการลงทุนภาคเอกชนทั้งหมด ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ไม่อาจมองข้ามได้
- ช่องทางที่ 3 ภาษีนำเข้า: ภาระที่สะท้อนกลับมาเป็นจีดีพี – การเพิ่มขึ้นของภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไปสหรัฐจากเฉลี่ย 1.7% เป็น 11% ก่อให้เกิดภาระต้นทุนที่สะท้อนกลับมาสู่ภาคเศรษฐกิจโดยตรง โดยเฉพาะในแง่ของผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
(GDP) หากการส่งออกลดลง 20% อันเนื่องมาจากอุปสรรคด้านภาษี รายได้จากการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนสำคัญของ GDP ไทยอาจลดลงได้ถึง 0.4% กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน (เพิ่มภาษีเฉพาะ 25%)
เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า และสิ่งทอ (เพิ่มภาษีทั่วไป 10%) ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และโลหะแม้ยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงในระยะแรก แต่ก็อยู่ในข่ายเสี่ยงสูงในอนาคต ผลกระทบเหล่านี้อาจรุนแรงขึ้นหากการขึ้นภาษีขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
- ช่องทางที่ 4 การแข่งขันจากสินค้าเอเชีย: สินค้าต้นทุนต่ำทะลักเข้า–แย่งตลาด – เมื่อสินค้าจากประเทศที่เคยส่งออกไปสหรัฐไม่สามารถเข้าถึงตลาดเดิมได้ การเคลื่อนย้ายของสินค้าจึงเบนเป้าเข้าสู่ตลาดอื่น
รวมถึงประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ผลที่ตามมาคือการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดภายในประเทศและตลาดประเทศที่สาม กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก โลหะ เคมีภัณฑ์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะถูกแย่งส่วนแบ่งตลาดจากสินค้าต้นทุนต่ำจากจีน เวียดนาม และประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ที่กำลังมองหาช่องทางใหม่ทดแทนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ
- ช่องทางที่ 5 ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว: แรงเสียดทานจากการค้าโลก – ผลกระทบสุดท้ายซึ่งอาจยืดเยื้อและลึกซึ้งที่สุด คือการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยรวม ภายใต้นโยบายกีดกันทางการค้าที่แพร่กระจายไปในหลายประเทศ
การชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าโดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐฯ ย่อมลดทอนอุปสงค์ต่อสินค้าส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในส่วนของสินค้าอุตสาหกรรมและบริการ เช่น การท่องเที่ยว การเปลี่ยนแปลงของรายได้ในประเทศคู่ค้าส่งผลต่อจำนวนและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวโดยตรง
ขณะเดียวกัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของไทยมีแนวโน้มลดลงตามแรงกดดันทางด้านอุปทาน ซึ่งอาจส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อโดยรวมในประเทศในระยะต่อไป
มุมมองจาก the SPACE - ทางรอดในโลกที่เปลี่ยน
นโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกาในปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ทางการค้าระยะสั้น หากแต่เป็นจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างที่อาจเปลี่ยนหน้าตาของการค้าโลกในระยะยาว การที่ประเทศมหาอำนาจหันกลับไปเน้นการผลิตภายในประเทศมากขึ้น พร้อมกับการใช้มาตรการทางภาษีเป็นเครื่องมือหลักในการแทรกแซงระบบตลาดเสรี คือสัญญาณของ “การปิดล้อมทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่” ที่จะสร้างแรงสั่นสะเทือนเป็นวงกว้างในประเทศที่พึ่งพาการส่งออก
ในมุมมองของ the SPACE บทเรียนจากสถานการณ์นี้ไม่ได้อยู่ที่ขนาดของผลกระทบในปัจจุบัน แต่อยู่ที่การตระหนักรู้ต่อความเปราะบางเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย และความจำเป็นในการยกระดับสมรรถนะในระยะยาว เราจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดิม ขยายการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค และสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาความรู้และนวัตกรรมมากขึ้น นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นเรื่องของการ “เตรียมอนาคต” ให้ประเทศไทยสามารถอยู่รอดได้อย่างมั่นคงในโลกที่ไม่มีคำว่าแน่นอนอีกต่อไป
สังเคราะห์และเรียบเรียงจาก:
- งาน Media Briefing วิเคราะห์ผลกระทบเบื้องต้นของนโยบายการค้าโลกต่อเศรษฐกิจไทย โดย ธนาคารแห่งประเทศไทย
- วันที่ 17 เมษายน 2568
ถ่ายทอดสดทาง Social Media ธนาคารแห่งประเทศไทย