ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไร้สมดุลจากแรงกระเพื่อมของการเมืองระหว่างประเทศ นโยบายการค้าแบบชาตินิยม และการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 คำถามสำคัญสำหรับผู้ลงทุนไม่ใช่แค่ “จะลงทุนอะไร” แต่คือ “จะลงทุนอย่างไรให้ไปรอดและไปรุ่ง” เวทีเสวนาโดยสภาคณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน Eastspring ประเทศไทย ได้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสที่ปรากฏในปัจจุบัน ตั้งแต่บทบาทของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (เวอร์ชั่น 2.0) ไปจนถึงการวางแผนพอร์ตลงทุนเพื่อการเกษียณอย่างรอบด้าน ซึ่งไม่เพียงแค่ช่วยให้เข้าใจโลกการเงินที่สลับซับซ้อน แต่ยังตอกย้ำความสำคัญของ “สติทางการเงิน” ในยุคที่การลงทุนไม่ใช่เพียงเรื่องของผลตอบแทน หากแต่เป็นเรื่องของความมั่นคงในระยะยาว
การกลับมาของทรัมป์ในฐานะผู้นำสหรัฐฯ กลายเป็นปัจจัยที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามอง เนื่องจากลักษณะนโยบายของเขาที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ สะท้อนผ่านการตั้งกำแพงภาษี การถอนตัวจากข้อตกลงการค้า และการยกระดับมาตรการศุลกากรแบบ “Reciprocal Tariff” ซึ่งอ้างอิงจากภาษีที่ประเทศคู่ค้าเรียกเก็บจากสินค้าสหรัฐฯ เพื่อใช้ตอบโต้ในอัตราเทียบเคียง ผลกระทบที่ตามมาคือภาวะความผันผวนในตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดที่พึ่งพาการส่งออกอย่างไทย ซึ่งอยู่ในกลุ่มประเทศที่เก็บภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐมากกว่าที่สหรัฐเก็บจากเรา
แม้ไทยจะไม่ใช่เป้าหมายหลักในนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ แต่กรณีการส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน รวมถึงความสัมพันธ์เชิงประสานประโยชน์กับจีนในเรื่องศูนย์ปฏิบัติการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ ล้วนทำให้ไทยอาจถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศ “Dirty Fifty” ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การรักษาดุลยภาพระหว่างสองมหาอำนาจจึงไม่ใช่แค่เกมการทูต แต่คือการรักษาฐานความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
ถึงแม้ตัวเลข GDP ของไทยจะไม่ร้อนแรงเท่าประเทศเกิดใหม่อย่างเวียดนามหรืออินโดนีเซีย แต่ก็ยังดีกว่าหลายประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนา โดยนักวิเคราะห์แนะนำให้แยกวิเคราะห์ตลาดหุ้นไทยออกจากสภาวะเศรษฐกิจจริง เพราะหุ้นขนาดใหญ่ของไทย เช่น กลุ่มพลังงานและสนามบิน มักขับเคลื่อนด้วยปัจจัยเฉพาะตัว ไม่ได้สะท้อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวม ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารและค้าปลีกจึงถือเป็นตัวชี้วัดที่ใกล้ชิดกับภาวะเศรษฐกิจจริงมากกว่า
ในยุคที่ความไม่แน่นอนกลายเป็นบรรทัดฐาน การบริหารความเสี่ยงในพอร์ตลงทุนจึงมีความสำคัญยิ่ง ผู้เชี่ยวชาญจาก Eastspring แนะนำว่าผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทำงานตอนต้นสามารถถือหุ้นในสัดส่วนสูงกว่า เพราะยังมีเวลาอีกหลายสิบปีก่อนใช้เงินยามเกษียณ ขณะที่ผู้ใกล้เกษียณควรทยอยปรับลดสัดส่วนหุ้น เพิ่มตราสารหนี้ และเลือกกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น แผน Jumbo 25 หรือ Treasury Money Market ทั้งนี้ การทำ Risk Assessment และการ Rebalance เป็นประจำจะช่วยให้สามารถปรับพอร์ตได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์และความสามารถในการรับความเสี่ยง
ปัจจุบัน Eastspring มีผลิตภัณฑ์การลงทุนครอบคลุมตั้งแต่กองทุนรวมหุ้นไทย เช่น SET50 และ Jumbo25 ไปจนถึงกองทุนหุ้นต่างประเทศอย่าง Global Quality Growth และ Global Innovation รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือกอย่างกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และทองคำ (เฉพาะกองทุนที่ยังไม่อยู่ใน shelf ของมหิดล) ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถจัดพอร์ตได้หลากหลายตามเป้าหมายและระดับความเสี่ยง โดยมีตัวอย่างกองทุนอย่าง GQG ที่ลงทุนทั่วโลกและถือว่าเป็น “All Weather Fund” พร้อมรองรับทุกสถานการณ์ตั้งแต่เศรษฐกิจผันผวนจนถึงภาวะสงคราม
คำแนะนำสำคัญที่ฝากไว้คือ “ออมให้มาก ออมให้เร็ว” โดยเฉพาะในยุคสังคมสูงวัย การมีเงินเก็บอย่างน้อย 12 ล้านบาทสำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณ (คำนวณจากค่าใช้จ่ายเดือนละ 50,000 บาท เป็นเวลา 20 ปี) จึงเป็นเป้าหมายที่ควรตั้งไว้ การเพิ่มสัดส่วนการออมจาก 3% หรือ 5% เป็น 7% หรือมากกว่านั้น ย่อมช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงข้อได้เปรียบด้านภาษีที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนลดหย่อนภาษีมอบให้
การลงทุนในยุคที่เศรษฐกิจโลกไร้เสถียรภาพและภูมิรัฐศาสตร์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิดความเปลี่ยนแปลงรวดเร็วนั้น ไม่ได้มีคำตอบสำเร็จรูป หากแต่ต้องอาศัย “การเรียนรู้ต่อเนื่อง” และ “ความเข้าใจในความเสี่ยงของตนเอง” เวทีเสวนานี้สะท้อนภาพชัดว่า การตั้งเป้าทางการเงินที่ดี ต้องควบคู่กับการออกแบบพอร์ตลงทุนที่ยืดหยุ่น กระจายความเสี่ยง และสอดคล้องกับช่วงชีวิตของแต่ละคน
the SPACE เห็นว่า ประเด็นสำคัญไม่ใช่แค่การเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด แต่คือการเลือกให้เหมาะสมกับ “ภาระ” และ “ความมั่นคง” ที่เราต้องแบกไว้ในวันข้างหน้า ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปมากเพียงใด สิ่งที่ยังคงเดิมคือการที่เราต้องรู้ให้เท่าทันโลก เพื่อจะอยู่กับมันได้อย่างเข้าใจ
สังเคราะห์และเรียบเรียงจาก: