ภาพประกอบ




โลกเดือด แผ่นดินขยับ ทบทวนความเปราะบางทางธรรมชาติ สู่แนวทางการอยู่ร่วมกับความเสี่ยงอย่างยั่งยืน



ชวนตั้งคำถามก่อนอ่าน ??


          เมื่อข้อมูลภัยพิบัติถูกส่งถึงแค่บางกลุ่ม แล้วประชาชนกลุ่มเปราะบางจะมีโอกาส “เตรียมพร้อม” อย่างเท่าเทียมได้อย่างไร?

          เมื่อโลกเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและฉับพลัน ทั้งจากภาวะโลกร้อน การขยายตัวของเมือง และวิกฤตทรัพยากรธรรมชาติ การรับมือกับภัยพิบัติไม่อาจจำกัดอยู่เพียงการตอบสนองหลังเหตุการณ์ หากต้องอาศัยแนวคิดเชิงรุกที่มองเห็น “ความเสี่ยง” ในฐานะผลลัพธ์ของการพัฒนาที่ยังขาดความสมดุล ความเปราะบางที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เพียงเรื่องธรรมชาติ แต่เป็นภาพสะท้อนของโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ และการวางผังเมืองที่ยังไม่สอดรับกับภูมิศาสตร์และความจริงของพื้นที่ งานพัฒนาในยุควิกฤตจึงต้องเริ่มต้นจากความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อความเสี่ยงในระดับพื้นที่ และการบูรณาการเครื่องมือ เทคโนโลยี และองค์ความรู้เพื่อสร้างความพร้อมของสังคมให้ “อยู่ร่วมกับความเสี่ยง” ได้อย่างยั่งยืน



ภัยพิบัติยุคใหม่: ความเร็วของวิกฤตและข้อจำกัดของระบบเดิม

          ภัยพิบัติทางธรรมชาติในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งในความถี่และความรุนแรง โดยเฉพาะภัยที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาทิ น้ำหลากฉับพลัน ฝนตกหนักในพื้นที่ไม่เคยเกิด หรืออุณหภูมิที่แปรปรวนอย่างสุดขั้ว ปรากฏการณ์เหล่านี้ส่งผลให้ระบบเตือนภัยแบบเดิมไม่สามารถตอบสนองต่อความเร็วของวิกฤตได้อย่างทันท่วงที การบริหารความเสี่ยงในโลกยุคใหม่จึงต้องเน้นระบบเตือนภัยที่มีความแม่นยำ สื่อสารได้เร็ว และเข้าถึงประชาชนในทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและชุมชนชายขอบ



ภูมิศาสตร์ของความเสี่ยง: เมื่อรอยเลื่อนกลายเป็นฐานของการพัฒนา

          อีกหนึ่งมิติสำคัญคือการตระหนักถึง “ภูมิศาสตร์ความเสี่ยง” ของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ใกล้รอยเลื่อนแผ่นดินไหว พื้นที่ดินอ่อน หรือพื้นที่เสี่ยงดินถล่ม ซึ่งหลายแห่งกลับถูกพัฒนาอย่างไม่ระมัดระวัง การวางแผนผังเมืองโดยไม่มีข้อมูลธรณีวิทยารองรับกลายเป็นต้นตอของความเสี่ยงซ้อน ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงเมื่อภัยพิบัติเกิดขึ้นจริง การจัดทำข้อมูลพื้นฐานทางธรณีที่ละเอียดระดับชุมชน และการนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้จริงในการออกแบบนโยบายและโครงสร้างพื้นฐาน คือหัวใจของการพัฒนาที่ยั่งยืน



เทคโนโลยีกับการขยายพลังของการตัดสินใจ

          การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะระบบข้อมูลเชิงพื้นที่แบบเรียลไทม์ มีบทบาทสำคัญในการลดช่องว่างระหว่าง “ข้อมูลกับการตัดสินใจ” ระบบเตือนภัยที่ดีไม่ควรเป็นเพียงการส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าเท่านั้น แต่ควรเป็นระบบที่เชื่อมโยงข้อมูลหลายมิติให้สามารถเข้าใจง่าย ตัดสินใจได้เร็ว และประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้จริง การพัฒนาแพลตฟอร์มเปิดที่ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเสรีและเข้าใจง่าย จะช่วยขยายพลังของการเตรียมพร้อมให้เกิดขึ้นในระดับครัวเรือน ไม่ใช่เพียงในระดับรัฐ



ความเป็นธรรมเชิงภัยพิบัติ: เสียงของชุมชนที่ไม่ควรถูกละเลย

          ในมิติของความเป็นธรรม การเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติไม่ควรเป็นอภิสิทธิ์ของเมืองใหญ่หรือชนชั้นกลางเท่านั้น กลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะในชุมชนแออัดยังขาดทั้งข้อมูล โครงสร้างพื้นฐาน และช่องทางการสื่อสารที่ปลอดภัยในยามเกิดภัยพิบัติ การออกแบบระบบเตือนภัยที่คำนึงถึงความเหลื่อมล้ำ เช่น การใช้เสียงตามสายภาษาท้องถิ่น การใช้คนในชุมชนเป็นผู้ประสานงานภาคสนาม หรือการพัฒนาแผนเผชิญเหตุร่วมกับชุมชน ล้วนเป็นแนวทางที่ทำให้การบริหารความเสี่ยงมีความยุติธรรมและยั่งยืนยิ่งขึ้น



บทสรุปในมุมมอง the SPACE

          แนวคิด “อยู่ร่วมกับความเสี่ยง” ไม่ได้แปลว่าจำนนต่อภัยพิบัติ แต่คือการออกแบบระบบสังคมให้พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งโลกเดือดและแผ่นดินขยับเร็วขึ้น เราจำเป็นต้องขยับวิธีคิดและวิธีจัดการกับความเสี่ยงให้ลึกซึ้งและครอบคลุมยิ่งกว่าเดิม the SPACE เห็นว่าความยั่งยืนในการอยู่ร่วมกับความเสี่ยงเริ่มต้นจากการมีข้อมูลที่แม่นยำ การสื่อสารที่เข้าถึง และการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง หากระบบเตือนภัยคือเสียงเตือนของอนาคต การฟังเสียงของชุมชนในวันนี้คือต้นทุนสำคัญของการสร้างภูมิคุ้มกันในวันข้างหน้า

สังเคราะห์และเรียบเรียงจาก:

  • งานเสวนา “โลกเดือด แผ่นดินขยับ : อยู่กับความเสี่ยงอย่างไร ให้ปลอดภัยอย่างยั่งยืน” โดย กรมทรัพยากรธรณี

  • วันที่ 8 เมษายน 2568
    ถ่ายทอดสดทาง Social Media ไขปัญหากับอายุรแพทย์ โดยราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ ชั้น 3 อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม