บุคคลที่คุณควรรู้จัก
มินนี่ - จามจุรี แซ่ซื้อ
“การที่เรามองเห็นว่าความสุขของเด็กในโรงพยาบาลมันหายไป คือสิ่งที่ผลักดันให้เราคิดว่าเราต้องเข้าไปเติมเต็ม” ประโยคนี้สะท้อนถึงหัวใจของการทำงานของคุณจามจุรี แซ่ซื้อ หรือ “มินนี่” หัวหน้าโครงการโรงพยาบาลมีสุข มูลนิธิกระจกเงา แนวคิดนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูด แต่คือความตั้งใจที่เปลี่ยนมุมมองการทำงานด้านสุขภาพของผู้ป่วยเด็กในประเทศไทย
ในสายตาของหลายคน โรงพยาบาลอาจถูกมองว่าเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเจ็บป่วย ความ เงียบเหงา และความทุกข์ใจ เสียงเครื่องมือแพทย์ที่ดังต่อเนื่อง สายตาที่เหนื่อยล้าของผู้ป่วย และบรรยากาศที่ดูเคร่งขรึม มักทำให้โรงพยาบาลถูกจำกัดอยู่ในภาพจำเหล่านี้ แต่สำหรับคุณจามจุรี แซ่ซื้อ หรือ “มินนี่” หัวหน้าโครงการโรงพยาบาลมีสุข เธอเชื่อว่าโรงพยาบาลสามารถเป็นได้มากกว่านั้น
คุณมินนี่มองว่า โรงพยาบาลควรเป็นพื้นที่ที่ให้ความรู้สึกของ “การเยียวยา” อย่างแท้จริง ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงการรักษาอาการทางกายภาพ แต่รวมถึงการเติมเต็มพลังใจที่ผู้ป่วย โดยเฉพาะเด็กๆ ควรได้รับ เธอเปรียบโรงพยาบาลเหมือน “สะพาน” ที่ไม่เพียงนำพาผู้ป่วยกลับมาสู่สุขภาพที่ดี แต่ยังควรเป็นพื้นที่ที่มอบความสุข ความหวัง และประสบการณ์ชีวิตที่ดี แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
“เด็กบางคนใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลยาวนานถึง 8 เดือน หรือแม้กระทั่งปี เด็กบางคนไม่เคยเห็นธรรมชาติ ไม่รู้จักสัตว์บางชนิด ไม่เคยรู้จักคำว่าโรงเรียน หรือเล่นกับเพื่อนในวัยเดียวกัน สิ่งที่เขาได้เห็นมากที่สุดคือสภาพแวดล้อมระหว่างการเดินทางมายังโรงพยาบาล” คำพูดของคุณมินนี่ จามจุรี แซ่ซื้อ ไม่ได้
เพียงแค่สะท้อนภาพความยากลำบากของเด็กผู้ป่วยในโรงพยาบาล แต่ยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบการดูแลสุขภาพที่มองข้ามมิติด้านจิตใจและคุณภาพชีวิต
จุดเริ่มต้นของโครงการโรงพยาบาลมีสุข เกิดขึ้นเมื่อมูลนิธิกระจกเงาเริ่มต้นงานอาสาสมัครในช่วงหลังเหตุการณ์สึนามิในปี 2547 นอกจากการช่วยเหลือในพื้นที่ภัยพิบัติแล้ว ทีมงานยังสังเกตเห็นปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นในระบบโรงพยาบาลไทยในช่วงเวลานั้น นโยบาย “30 บาทรักษาทุกโรค” ซึ่งเพิ่มการเข้าถึงการรักษาให้ประชาชน แต่ในขณะเดียวกัน โรงพยาบาลกลับต้องรับภาระเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งในแง่ของจำนวน
ผู้ป่วยและความคาดหวังในการบริการ ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขต้องเผชิญกับความเครียดที่สูงขึ้นอย่าง
ต่อเนื่อง
“ตอนนั้น เราเห็นภาพผู้ป่วยนอนเรียงรายเต็มโถงทางเดิน หรือแม้แต่บางคนต้องนำหมอนและมุ้งมารอคิวตั้งแต่กลางคืนเพื่อพบหมอในเช้าวันถัดไป” คุณมินนี่เล่าถึงสถานการณ์ที่สะเทือนใจ ทีมงานจึงเริ่ม
ตั้งคำถามว่า “อะไรคือสิ่งที่พวกเขาสูญเสียไปในช่วงเวลาที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล?”
“เราพบว่าโรงพยาบาลให้การรักษาร่างกายอย่างครบถ้วน แต่ความสุขของเด็กๆ นั้นหายไป” คุณมินนี่เล่าถึงสิ่งที่ทีมงานได้เรียนรู้จากการลงพื้นที่ ความสุขตามวัย เช่น การเล่น การเรียนรู้ และการมีปฏิสัมพันธ์ กับเพื่อน กลับถูกแทนที่ด้วยความเหงา ความเจ็บปวด และตารางเวลาที่ถูกจำกัดจากการรักษาในโรงพยาบาล
ทีมงานของมูลนิธิกระจกเงาจึงเริ่มต้นทดลองแนวคิดในการฟื้นฟู “ความสุข” ของเด็กๆ ใน
โรงพยาบาล “เราไม่ได้เริ่มจากแผนการที่ซับซ้อนหรือกิจกรรมใหญ่โต แต่เริ่มจากคำถามง่ายๆ ว่า ถ้าเราเป็นเด็กที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาลนานๆ เราจะอยากได้อะไร?” คุณมินนี่เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่เรียบง่าย แต่มากด้วยความหมาย คำถามนี้นำไปสู่กิจกรรมเล็กๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความสุขและการพัฒนาของเด็กๆ
ในวอร์ด เช่น การวาดภาพระบายสี เล่นเกม การเล่านิทาน หรือแม้กระทั่งการจัดงานวันเกิดให้เด็กๆ ที่ไม่เคยมีโอกาสได้เฉลิมฉลองมาก่อน
“เด็กบางคนไม่เคยรู้จักคำว่า ‘พระจันทร์’ เพราะชีวิตพวกเขาถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่โรงพยาบาล”
เธอเล่าถึงเหตุการณ์ที่เด็กคนหนึ่งถามด้วยความสงสัยว่า “พระจันทร์คืออะไร?” ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจถึงความแคบของโลกที่เด็กป่วยต้องเผชิญ สิ่งเล็กๆ อย่างนี้คือแรงบันดาลใจให้ทีมงานกระจกเงายิ่งมั่นใจในภารกิจของตนเองมากขึ้น
การทำงานในโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มต้น โครงการต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ ตั้งแต่ความไม่เข้าใจของบุคลากรทางการแพทย์ ไปจนถึงความท้าทายในการสร้างความไว้วางใจ “บางครั้งเราถูกมองว่าอาจจะมารบกวนหรือเพิ่มภาระให้กับทีมแพทย์และพยาบาล แต่เรายืนยันเสมอว่าเราเข้ามาเพื่อช่วยแบ่งเบา ไม่ใช่เพิ่มภาระ” คุณมินนี่กล่าว กิจกรรมต่างๆ ไม่ได้เพียงแค่สร้างรอยยิ้มให้เด็กๆ แต่ยังช่วยลดความตึงเครียดของผู้ปกครอง และเพิ่มกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์
อีกด้วย เธอกล่าวถึงผลลัพธ์ที่ส่งผลต่อทุกคนในระบบ
สำหรับคุณมินนี่ การทำงานในโครงการโรงพยาบาลมีสุขไม่ใช่แค่การทำหน้าที่ในฐานะหัวหน้าโครงการ แต่คือการเป็น “คนข้างๆ” ที่เด็กๆ ในโรงพยาบาลสามารถพึ่งพิงได้ “เด็กๆ เหล่านี้ต้องการมากกว่าการรักษาทางกาย เขาต้องการคนที่พร้อมจะรับฟังและเข้าใจ” คุณมินนี่เล่าด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ
กิจกรรมที่ทีมงานจัดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การสร้างความบันเทิง แต่ยังเน้นไปที่การพัฒนาทักษะที่เด็กอาจสูญเสียไปในช่วงเวลาที่พวกเขาต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล “เด็กบางคนไม่สามารถออกไปเรียนหนังสือได้ เราจึงนำเกมการศึกษามาให้พวกเขาเล่น หรือสำหรับเด็กที่ต้องการการฟื้นฟูพัฒนาการทาง
กล้ามเนื้อ เราก็เลือกกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นให้เขาได้ใช้กล้ามเนื้อมือ เช่น การระบายสีหรือการปั้นดินน้ำมัน”
แม้ผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการโรงพยาบาลมีสุขจะสร้างรอยยิ้มและความหวังในหลายมิติ แต่เส้นทาง การทำงานไม่เคยราบรื่น ความท้าทายในช่วงเริ่มต้นและสถานการณ์ไม่คาดคิด เช่น การแพร่ระบาดของ
โควิด-19 ล้วนเป็นบททดสอบสำคัญที่โครงการต้องเผชิญและปรับตัวเพื่อก้าวข้าม
“เราต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะเด็กแต่ละคนมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน” คุณมินนี่กล่าวถึงหนึ่งในอุปสรรคหลัก นั่นคือ การออกแบบกิจกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคน ซึ่งมีทั้งข้อจำกัดด้านสุขภาพและความพร้อมทางจิตใจ ในวอร์ดผู้ป่วย เด็กๆ ไม่ได้อยู่ในสภาพที่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ตลอดเวลา การประเมินความพร้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทีมงานต้องประสานงานกับพยาบาลและแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าเด็กที่เข้าร่วมกิจกรรมจะได้รับประโยชน์ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการรักษา “บางครั้ง ในวอร์ดที่มีเด็ก 30 เตียง อาจมีเด็กเพียง 5-6 คนที่สามารถเข้าร่วมได้ และเราต้องสลับเด็กๆ เพื่อให้ทุกคนมีโอกาส” คุณมินนี่อธิบายถึงกระบวนการที่ต้องมีความยืดหยุ่นสูง นอกจากข้อจำกัดทางร่างกายของเด็กแล้ว การออกแบบกิจกรรมยังต้องคำนึงถึงสภาพจิตใจที่หลากหลาย “เด็กบางคนไม่เคยได้รับประสบการณ์แบบนี้เลย การทำกิจกรรมอย่างง่ายๆ เช่น การวาดภาพระบายสี ก็อาจต้องใช้เวลาสร้างความไว้วางใจให้กับเด็กๆ” เธอกล่าวถึงความซับซ้อนในการสร้างสรรค์กิจกรรมที่ไม่เพียงแต่ให้ความสนุก แต่ยังช่วยฟื้นฟูจิตใจในระยะยาว
ในช่วงเริ่มต้นของโครงการ ความไม่ไว้วางใจจากผู้ปกครองเป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ทีมงานต้องเผชิญ คุณมินนี่เล่าว่า ผู้ปกครองบางคนไม่คุ้นเคยกับการที่ “คนนอก” เข้ามาทำกิจกรรมกับลูกๆ ในโรงพยาบาล บ้างก็สงสัยถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของทีมงาน “พวกเขาอาจกลัวว่าเราจะมาขายของ หรือเกรงว่าเราจะสร้างผลกระทบเชิงลบต่อการรักษา” เธอกล่าว ทีมงานจึงต้องใช้เวลาในการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจให้เกิดขึ้น โดยแสดงให้เห็นว่าเป้าหมายของกิจกรรมทั้งหมดคือการเติมเต็มความสุขให้กับเด็กๆ เท่านั้น
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญของโครงการ เนื่องจากกิจกรรมทุกอย่างที่เคยดำเนินการในโรงพยาบาลต้องหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง “โควิดทำให้เราไม่สามารถเข้าไปในโรงพยาบาลได้เลย ไม่เพียงแต่ทีมงาน แม้แต่ผู้ปกครองบางคนยังถูกจำกัดการเข้าเยี่ยมลูก” คุณมินนี่เล่าด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนถึงความยากลำบากในช่วงเวลานั้น ทีมงานต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน
คุณมินนี่มองว่า ความท้าทายเหล่านี้คือบทเรียนที่ทำให้โครงการโรงพยาบาลมีสุขแข็งแกร่งขึ้น
“ทุกครั้งที่เราผ่านอุปสรรคมาได้ เราจะพบว่ามันช่วยให้เราเข้าใจเด็กๆ และผู้ปกครองมากขึ้น อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้เราได้คิดค้นวิธีการใหม่ๆ ที่สร้างผลกระทบที่ดีขึ้นในระยะยาว”
สำหรับอนาคต โครงการยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายแนวคิดนี้ไปยังโรงพยาบาลทั่วประเทศ รวมถึงพัฒนากิจกรรมที่ครอบคลุมกลุ่มผู้ป่วยอื่นๆ เช่น ผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้ป่วยที่มีความต้องการเฉพาะ “เราอยากให้ทุกโรงพยาบาลในประเทศไทยมีพื้นที่ความสุขเช่นนี้ และไม่มีใครควรถูกละเลยในมิตินี้” คุณมินนี่กล่าวอย่างมั่นใจ คุณมินนี่มองว่าโครงการนี้ยังสามารถพัฒนาและขยายผลได้อีกมาก “เราอยากให้ความคิดเรื่องการเติมเต็มความสุขในโรงพยาบาลแพร่หลายออกไป ไม่ใช่แค่สำหรับเด็ก แต่รวมถึงกลุ่มผู้ป่วยคนอื่นๆ ที่อาจต้องการการดูแลเชิงจิตใจด้วย” ด้วยการทำงานที่เปี่ยมไปด้วยหัวใจและความมุ่งมั่น โครงการโรงพยาบาล
มีสุข เป็นตัวอย่างของการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ แต่ส่งผลกระทบในวงกว้าง
“การได้ทำสิ่งเล็กๆ ให้กับคนอื่นมันไม่ใช่แค่การให้ แต่คือการได้รับกลับมาด้วย” คุณมินนี่กล่าวถึง
แรงบันดาลใจที่เธอได้รับจากเด็กๆ และครอบครัวของพวกเขา “เมื่อเราเห็นว่าความสุขเล็กๆ ที่เรามอบให้มันทำให้ชีวิตใครบางคนดีขึ้น มันเป็นเหมือนแรงผลักดันที่ทำให้เราอยากเดินหน้าต่อ”
สำหรับเธอ โครงการโรงพยาบาลมีสุขไม่ใช่แค่การทำงาน แต่เป็นการสร้างความหมายในชีวิตของ
ตัวเอง “ทุกครั้งที่เราเห็นเด็กคนหนึ่งยิ้มได้ เรารู้สึกเหมือนได้รับรางวัลชีวิต”
“เมื่อเราเห็นเด็กยิ้มได้ แม้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ มันเป็นเหมือนพลังที่สะท้อนกลับมาสู่เรา” คุณมินนี่กล่าวถึงผลสำเร็จของโครงการที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้ป่วยเด็ก แต่ยังรวมถึงครอบครัวและบุคลากรทางการแพทย์ “ผู้ปกครองได้ใช้เวลาไปทำธุระ หรือแค่ได้พักบ้าง มันช่วยลดความตึงเครียดของพวกเขา รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์เองก็รู้สึกว่ามีคนช่วยแบ่งเบาภาระ”
“สิ่งที่เราทำมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงโลก แต่มันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของคนในโรงพยาบาลได้”
คุณมินนี่เล่าถึงผลลัพธ์ของโครงการที่ไม่ได้จำกัดแค่การมอบความสุขให้กับเด็กๆ แต่ยังส่งผลไปถึงผู้ปกครองและบุคลากรทางการแพทย์ “เมื่อเด็กยิ้มได้ ผู้ปกครองก็คลายความกังวลไปได้ส่วนหนึ่ง และเมื่อผู้ปกครองมีเวลาพัก บุคลากรทางการแพทย์เองก็มีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น เพราะพวกเขารู้ว่ามีคนช่วยแบ่งเบาภาระอยู่” สิ่งที่ทำให้โครงการนี้พิเศษคือความตั้งใจในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนรู้สึกได้ว่า “ไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง” คุณมินนี่เล่าว่า “มีเด็กบางคนที่ไม่เคยยิ้มเลยตั้งแต่เราพบกันวันแรก แต่พอผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ เราได้เห็นเขายิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะของเขา สิ่งเล็กๆ เหล่านี้มันมีความหมายมาก”
โครงการโรงพยาบาลมีสุขคือตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง ด้วยความมุ่งมั่นและความตั้งใจของคุณมินนี่ และทีมงานมูลนิธิกระจกเงาที่ไม่ได้เพียงแค่ส่งมอบความสุขให้กับเด็กในโรงพยาบาล แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนในสังคมในการมองเห็นคุณค่าของการดูแลทั้งกายและใจ
“เพราะเราเชื่อว่าความสุขคือส่วนหนึ่งของการรักษา” คำพูดของคุณมินนี่สรุปแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังทุกกิจกรรมของโครงการโรงพยาบาลมีสุขได้อย่างสมบูรณ์
About fact
เชื่อในพลังของการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ สนใจสำรวจเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คน วิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะรากเหง้าอีสาน ชื่นชอบการเดินทางเพื่อเปิดโลกใหม่ ๆ และชอบคลายเครียดด้วยทำอาหาร