เชื่อมโยงบุคคลสู่การสร้างแรงบันดาลใจ
ศ.ศศิพัฒน์ ยอดเพชร
สังคมผู้สูงวัยถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ในด้านการจัดระบบสวัสดิการทางสังคมให้กับผู้สูงอายุในประเทศไทยมีการดำเนินงานมาแล้วกว่า 30 ปี ระบบสวัสดิการที่เราเห็นในวันนี้ส่วนหนึ่งเป็นแรงผลักดันจากนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์คนสำคัญท่านนี้
SPACE interview มีความปลาบปลื้มยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ พูดคุยกับ ศาสตราจารย์ศศิพัฒน์ ยอดเพชร “อาจารย์แม่” ของนักสังคมศาสตร์ในประเทศไทย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์ ในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ อาจารย์มีความสนใจด้านสวัสดิการผู้สูงอายุเป็นพิเศษ เป็นนักวิชาการเริ่มงานวิชาการและวิจัยด้านสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา
“ชุดความรู้ที่มุ่งสู่ภาวะการสูงวัยอย่างมีพลัง” โดยการสนับสนุนของมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) ซึ่งเป็นชุดความรู้ที่ใช้สอนในโรงเรียนผู้สูงอายุทั่วประเทศก็เป็นผลงานของอาจารย์เช่นเดียวกัน จึงไม่ผิดฝาผิดตัวแน่นอนหากจะถามผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ว่า แนวทางการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุไทยแบบไหนที่เหมาะสม ?
ก่อนจะไปถึงว่าระบบสวัสดิการแบบใดที่จะเหมาะสมกับบริบทผู้สูงอายุในประเทศไทย อาจารย์ศศิพัฒน์ได้ชวนให้เรารู้จักกับความหมายของสวัสดิการเสียก่อน ซึ่งเป็นเรื่องสากลที่ทำกันทั่วทั้งโลก อาจารย์เล่าว่าคำว่า สวัสดิการ นั้นมี 3 ความหมายตามมุมมองในแต่ละมิติ ได้แก่ มิติทางสถาบัน ซึ่งหมายถึงระบบของประเทศที่เกี่ยวกับโครงการ บริการ ที่มีผลประโยชน์ต่อเยาวชน เพื่อตอบสนองความต้องการด้านสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา สุขภาพ เพื่อช่วยให้อยู่ในสังคมได้อย่างปกติ ในมิติวิชาชีพ คือ องค์ความรู้ สถาบันที่ผลิตบุคลากรไปให้ความช่วยเหลือแก่สังคม และสุดท้ายในมิติระบบบริการ คือ กิจกรรมที่รัฐบาลเป็นหลักในการจัดให้มีขึ้น เพื่อคุ้มครองความอยู่ดีมีสุขของประชาชน โดยมีบริการทั้งเป็นทางการ ไม่เป็นทางการจากผู้ให้บริการหลากหลายวิชาชีพ อาจารย์ศศิพัฒน์ได้ย้ำว่า
แม้ว่าเมื่อพูดถึงสวัสดิการก็ต้องนึกถึงรัฐบาล แต่คำว่ารัฐบาลเป็นหลักในการจัดให้นั้น ก็หมายถึงว่าจะต้องมีภาคส่วนอื่นเข้ามาร่วมด้วย เช่น ภาคประชาชน ภาคประชาสังคมทั้งหลายเข้ามาร่วมในการจัดสวัสดิการ ตรงนี้อาจารย์ศศิพัฒน์ ได้กรุณายกตัวอย่างการจัดระบบสวัสดิการในต่างประเทศเพื่ออธิบายให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น
สวัสดิการแต่ละประเทศจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับกรอบแนวคิด วิสัยทัศน์ของผู้นำในประเทศนั้นๆ ซึ่งเปลี่ยนไปตามยุคสมัย การบริหารจัดการเปลี่ยนไปไม่นิ่งตายตัว มีพลวัตมีการปรับปรุงแก้ไขมาตลอด ในภาพระบบการปกครองอาจารย์ศศิพัฒน์อธิบายว่ามี 3 ประเภท ได้แก่
ทั้งนี้หากเราดูในกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์ ที่มีสวสดิการที่ดีที่สุดในโลก ทั้งเรียนฟรี น้ำ ไฟ แก๊สฟรี บ้านราคาถูก มีคุณภาพชีวิตที่ดีมากนั้น ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมกับรัฐบาลทั้งการร่วมเสนอการจัดสวัสดิการ การร่วมตรวจสอบการทำงานของรัฐ และสิ่งสำคัญสุดท้ายคือ ให้ความร่วมมือในการจ่ายภาษี ประเทศในกลุ่มดังกล่าวมีฐานภาษีเรียกเก็บเริ่มต้นที่ 22 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นไป เช่นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีรายได้เรียกเก็บสูงสุดที่ 67 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งภาษีที่รัฐเรียกเก็บจากประชาชนนั้นคืนกลับมาเป็นระบบสวัสดิการที่ดีดังข้างต้น การมีระบบสวัสดิการที่ดี ประชาชนจึงจะต้องเข้ามามีบทบาทร่วม
“เขาพร้อมที่จะจ่าย เพื่อที่เขาจะได้สิ่งที่ดีกลับมา เรียกได้ว่า ของฟรีไม่มีในโลก”อาจารย์ศศิพัฒน์ กล่าว
ในขณะที่ประเทศไทยเป็นระบบเสรีนิยมจึงจัดระบบสวัสดิการที่โดยพื้นฐานทุกคนได้เท่าเทียมกัน แต่หากจะก้าวไปถึงการจัดระบบสวัสดิการที่เป็นรัฐสวัสดิการนั้น วันนี้อาจารย์ศศิพัฒน์มองว่ายังคงทำได้ยาก
เมื่อย่อประเด็นลงมาเฉพาะเจาะจงที่กลุ่มผู้สูงอายุ สำหรับประเทศไทยปี 2566 มีจำนวนผู้สูงอายุ 19.7 ล้านคน จากตัวเลขนี้ชวนให้เราคิดว่าขณะนี้เรามีจำนวนผู้สูงอายุ (60 ปี ขึ้นไป) ซึ่งต้องได้รับเบี้ยยังชีพแล้วมากกว่าจำนวนของผู้ที่เสียภาษีในปีล่าสุดถึง 4 เท่า ประเทศเราจะเอางบประมาณจากตรงไหนมาบริการจัดการหากในอนาคตตามการคาดการณ์ ปี 2574 ประเทศไทยจะกลายเป็น ‘สังคมสูงวัยระดับสุดยอด’ (Super Aged Society) ประชากรกว่า 28 เปอร์เซ็นต์ เป็นผู้สูงอายุ ปัญหาที่เห็นและคิดตามได้เร็วๆ คือ จำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นแต่รายได้จากการเก็บภาษีเงินได้ลดลง รวมทั้งเครือข่ายการดูแลผู้สูงอายุก็ลดลงด้วย เพราะการเกิดน้อยลง ลูกหลานในบ้านก็ลดลง วัยทำงานก็ลดลงตาม สิ่งเหล่านี้อาจารย์ศศิพัฒน์เสนอแนวทางว่ารัฐจึงต้องเตรียมการและรองรับสังคมผู้สูงวัยอย่างเร่งด่วน ทั้งการดำเนินงานเกี่ยวกับบริการที่เกิดประโยชน์ต่อผู้สูงอายุ โดยภาครัฐ เอกชน ประชาชนที่ต้องร่วมมือกัน
ทั้งนี้ระบบสวัสดิการที่จัดให้กับผู้สูงอายุนั้นก็มีรูปแบบอยู่ 4 ประเภท
ประเภทที่หนึ่ง คือ การประกันสังคม เป็นการคุ้มครองทางสังคมมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้ใช้แรงงาน คนทำงานประจำ โดยจ่ายเงินสมทบจึงจะได้รับสวัสดิการครอบคลุมสิทธิประโยชน์หลายด้านรวมถึงชราภาพ
ประเภทที่สอง คือ การบริการทางสังคม เป็นการจัดบริการขั้นพื้นฐานที่หน่วยงานภาครัฐ จัดให้ประชาชนทุกคน เป็นแนวคิดสวัสดิการถ้วนหน้าเน้นครอบคลุม เสมอภาค เท่าเทียม เข้าถึงสิทธิ และจัดให้สำหรับผู้สูงอายุตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมของไทย ที่สำคัญมี 7 ชนิดคือ สุขภาพ การศึกษา ที่อยู่อาศัย การมีงานทำ มีรายได้ นันทนาการ ความมั่นคงทางสังคม และบริการสังคมทั่วไป
ลองจินตนาการถึงการแข่งขันวิ่ง ประเภทที่สาม เป็นการช่วยเหลือทางสังคมหรือการสงเคราะห์ ประชาชนที่อยู่นอกขอบข่ายอื่นๆ หรือมุ่งช่วยผู้เปราะบาง ด้อยโอกาส ทั้งในรูปแบบของเงิน สิ่งของที่นำไปแจกให้ หรือการจัดการให้มีที่อยู่อาศัยแบบบ้านพักคนชรา ซึ่งในประเทศไทยมี 24 แห่ง เป็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 12 แห่ง และส่วนท้องถิ่น 12 แห่ง
ประเภทสุดท้ายคือ การสนับสนุนหุ้นส่วนทางสังคม หมายถึงว่าการจัดสวัสดิการของรัฐอาจไม่เพียงพอต้องดึงหุ้นส่วนอื่น เข้ามาร่วมจัดสวัสดิการให้กับผู้สูงอายุและคนทั่วไป เช่น การทำ CSR ของบริษัทใหญ่ กลุ่มจิตอาสาด้านต่าง เป็นต้น
หากดูโดยภาพรวม ประเทศไทยมีประเภทของการจัดสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุครบทุกรูปแบบ อะไรคือความท้าทายของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ
พูดถึงสถานการณ์ผู้สูงอายุที่เป็นปัญหา อาจารย์ศศิพัฒน์มองว่าเป็นปัญหาที่คล้ายกับกลุ่มอื่น ปัญหาที่เด่นชัดคือ ปัญหาด้านสุขภาพ เพราะว่าความชราทำให้ทุกอย่างเสื่อมลง ด้านต่อมาก็เป็นรายได้ ปัจจุบันมีกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเกือบ 5 ล้านคน นั่นสะท้อนถึงผู้สูงอายุในบ้านเรานั้น “แก่และจน”
จุดอ่อนในด้านรายได้ของผู้สูงอายุนั้นอยู่ที่ไหน ในเชิงระบบอาจารย์ศศิพัฒน์มองว่าการออมเพื่อเตรียมความพร้อมทางการเงินเป็นเรื่องที่ถูกละเลยแม้ว่าจะมีการวางระบบรองรับไว้แล้วก็ตามทั้งสำหรับแรงงานนอกระบบซึ่งมีกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) แต่กลับไม่ได้รับความนิยม
ประชาชนส่วนมากมองที่เบี้ยยังชีพของผู้สูงอายุรายเดือน ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าไม่เพียงพอ วันนี้ สิ่งสำคัญไม่ได้ต้องทำงานกับผู้สูงอายุ แต่ต้องทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนถึงวัยเกษียณ ทำอย่างไรจึงอยู่ได้อย่างแข็งแรงอายุยืนยาว ชีวิตจึงต้องมีการออกแบบ ต้องวางแผน ต้องมีการเตรียมการ
การจัดสวัสดิการสังคมของประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ ปัจจุบันน้ำหนักยังเป็นไปในทางสงเคราะห์ มีการช่วยเหลือทางสังคมค่อนข้างจะสูง ในมุมมองของอาจารย์ศศิพัฒน์ ประเทศไทยควรเป็นสังคมสวัสดิการ คือ ต้องรับผิดชอบต่อตนเอง ตั้งแต่เริ่มบรรลุนิติภาวะ เช่น เริ่มออมตั้งแต่ 15 ปี เป็นต้นไป หากเริ่มออมแสดงถึงความรับผิดชอบต่อตนเองว่าแก่ไปไม่เป็นภาระแก่คนอื่น เป็นต้น และต้องรับผิดชอบต่อผู้อื่น เช่น สมาชิกในครอบครัว ต่อสังคม
อาจารย์ศศิพัฒน์ กล่าวว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นองค์กรที่เข็มแข็งและใกล้ชิดกับผู้สูงอายุ รัฐบาลกลางกำหนดนโยบายและมีการกระจายอำนาจลงไปในส่วนท้องถิ่นซึ่งพระราชบัญญัติการถ่ายโอนมีอยู่ 6 ประการ หนึ่งในนั้นคือเรื่องของคุณภาพชีวิตการบริการสาธารณะ สูงวัยในถิ่นที่อยู่เป็นหนึ่งในแนวคิดที่อยู่ในนั้น เพื่ออยากให้ผู้สูงอายุอยู่ในพื้นที่เดิม หรือแนวคิด Aging in place เป็นแนวคิดที่มุ่งให้ผู้สูงอายุอยู่ในที่อยู่เดิมของตนเองอย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิต มองได้ 2 รูปแบบ แบบที่หนึ่ง อยู่ในบ้านเดิมของตนเองและมีการปรับปรุงบ้านให้เหมาะสม อันที่สองคือย้ายที่อยู่อาศัยใหม่แต่อยู่ในบริเวณถิ่นเดิม หมู่บ้านเดิม ตำบลเดิมของตนเอง การได้อยู่ในที่อยู่ของตนเองทำให้ผู้สูงอายุอบอุ่นใจ มั่นใจ ปลอดภัย คุ้นเคย ขณะเดียวกันลูกหลานที่ลดลง สูงวัยในถิ่นที่อยู่ ทำให้การดูแลผู้สูงอายุทำได้สะดวกขึ้น ซึ่งในต่างประเทศนำแนวคิดนี้มาใช้นานแล้ว สำหรับในประเทศไทย บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงสำคัญ เพราะท้องถิ่นใกล้ชิดกับผู้สูงอายุและกฎหมายก็เอื้อให้ท้องถิ่นสามารถดำเนินการได้
แล้วท้องถิ่นทำอะไรได้บ้าง?
แนวคิดสูงวัยในถิ่นที่อยู่มีองค์ประกอบหลัก 3 ประการ คือ สถานที่ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในบ้านของผู้สูงอายุ ระบบบริการสุขภาพที่ต้องสอดคล้องกับความต้องการของคนในพื้นที่ และระบบการจัดการ เกี่ยวกับเรื่องที่ท้องถิ่นต้องให้ความรู้กับคนทำงาน อาสาสมัคร การบริการด้านสังคมเช่นไปเยี่ยมผู้สูงอายุ เป็นต้น
อาจารย์ศศิพัฒน์กล่าวว่า หากเราจะนำแนวคิดนี้มาใช้ เราควรจะเริ่มที่นโยบายรัฐบาลใหญ่ รัฐบาลกลางจะต้องกำหนดนโยบายมาให้ชัดเจน เพราะ Ageing in place ครอบคลุมทั้ง สุขภาพ สังคม สภาวะแวดล้อม หน่วยงานที่จะเป็นผู้กำกับนโยบายของด้านผู้สูงอายุ คือ คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ควรกำหนดเป็นนโยบายออกมาให้ชัดเจนจะต้องบูรณาการทุกด้าน และงบประมาณก็ควรจะต้องสนับสนุนให้ท้องถิ่นด้วย
ด้านหน่วยงานทางวิชาการ สถาบันการศึกษา หรือนักวิชาการ องค์กรเหล่านี้ต้องมาสนับสนุนองค์ความรู้เหล่านี้แก่ท้องถิ่น ทั้งในระดับผู้บริหารและระดับปฏิบัติการ ทั้งนี้ในแผนการปฏิบัติการจะทำอย่างไรต้องขึ้นอยู่กับข้อมูลของผู้สูงอายุในชุมชนนั้นๆ ว่าผู้สูงอายุมีมากน้อยแค่ไหนมีความต้องการอะไร มีกลุ่มไหนมากที่สุด
ในประเด็นนี้ อาจารย์ศศิพัฒน์ ได้ย้ำถึงกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชนว่า
สุดท้ายอาจารย์ศศิพัฒน์ ได้ย้ำถึงการขับเคลื่อนการทำงานเพื่อสวัสดิการผู้สูงอายุว่า “ต้องเรียนรู้คอนเซปต์แนวคิด เพราะว่าผู้นำท้องถิ่นทั้งหลายเขามีใจนำอยู่แล้ว ที่จะทำเพื่อคนในท้องที่ ถ้ามีวิสัยทัศน์หรือองค์ความรู้ให้ เขาสามารถไปได้” ด้วยจากประสบการณ์ที่อาจารย์ได้ทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ศึกษาย้อนหลังไป 10 กว่าปี อาจารย์เห็นได้ว่าการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ/ท้องถิ่น วิชาการ และภาคประชาชน 3 กลุ่มนี้ ทำให้งานขับเคลื่อนได้ดี สิ่งสำคัญคือการนำองค์ความรู้ไปพร้อมกับงบประมาณสนับสนุน รวมทั้งในภาครัฐเองควรนำความรู้ ข้อมูลทางด้านวิชาการด้านผู้สูงอายุที่มีอยู่ไปใช้ประโยชน์เชิงนโยบายและดำเนินการให้ถูกต้องตามหลักที่ภาควิชาการเสนอ จะทำให้ภาพฝันสังคมสวัสดิการเพื่อผู้สูงอายุที่สมบูรณ์และมีคุณภาพชีวิตที่ดีนั้นเป็นจริงในประเทศไทยได้อย่างแน่นอน.
การพูดคุยกับศาสตราจารย์ศศิพัฒน์ ยอดเพชร ทำให้เราเห็นชัดเจนว่าสวัสดิการไม่ใช่เพียง “สิ่งที่รัฐพึงจัดให้” แต่คือ กลไกความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและประชาชน ที่ต้องอาศัยความเข้าใจ วิสัยทัศน์ และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงจากทุกภาคส่วน
เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของสังคมไทย—ที่จำนวนผู้สูงอายุเติบโตสวนทางกับกำลังแรงงานและฐานภาษี เราจึงต้องหันมาคิดใหม่ว่า การสูงวัยอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มหนึ่ง แต่คือการวางรากฐานให้คนทุกช่วงวัยได้เติบโตและแก่ไปในสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกัน เสียงสะท้อนของอาจารย์ศศิพัฒน์จึงไม่ใช่เพียงข้อมูลเชิงวิชาการ หากแต่คือบทเรียนนโยบายที่ถักทอจากความเข้าใจชีวิตจริงของผู้คน เพื่อให้เราตระหนักว่า “การมีชีวิตที่ดีในวัยสูง ไม่ได้เริ่มต้นเมื่ออายุมากขึ้น แต่เริ่มตั้งแต่วันนี้ที่เราร่วมกันออกแบบ”
the SPACE เชื่อว่า หากเราลงมือวางโครงสร้างสวัสดิการอย่างตั้งใจตั้งแต่วันนี้ อนาคตของสังคมไทยจะไม่ใช่แค่ “อยู่รอด” ในสังคมสูงวัย แต่คือการ “อยู่ดี” ด้วยศักดิ์ศรี คุณภาพ และความหวังที่ไม่เคยลดน้อยลงตามอายุ
special co-creation
เชื่อในพลังของการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ สนใจสำรวจเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คน วิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะรากเหง้าอีสาน ชื่นชอบการเดินทางเพื่อเปิดโลกใหม่ ๆ และชอบคลายเครียดด้วยทำอาหาร