People to connect with

เชื่อมโยงบุคคลสู่การสร้างแรงบันดาลใจ


รศ.ไตรรัตน์ จารุทัศน์


อยากให้สูงวัยอยู่ในถิ่นที่อยู่ ต้องสร้างชุมชนที่เป็นมิตรต่อผู้สูงวัย



          ปี 2567 ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุ กลายเป็นประเด็นหลักที่ภาครัฐ หน่วยงานท้องที่ท้องถิ่นต่างขยับกันอย่างตื่นตัว งานผู้สูงอายุไม่ได้มีแต่มิติสุขภาพหรือเบี้ยยังชีพ แต่มีมิติอื่นๆ เช่น มิติเชิงสังคม สภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่ ที่พักอาศัย วิถีชีวิตของผู้สูงอายุด้วย

          “Ageing in Place” หรือสูงวัยในถิ่นเดิม ซึ่งเป็นแนวคิดให้ผู้สูงอายุ สามารถอยู่อาศัยในบ้านเดิมที่เคยอยู่ ในชุมชนที่คุ้นเคย โดยจะต้องมีการจัดการสภาพแวดล้อมและที่พักอาศัยให้เอื้อและเหมาะสมกับการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ แต่การจะให้ผู้สุงอายุอยู่ในถิ่นเดิมได้นั้นจำเป็นต้องสร้างชุมชนที่เป็นมิตรต่อผู้สูงวัยด้วย (Age – Friendly Communities)

          SPACE interview ได้มีโอกาสพูดคุยกับ รองศาสตราจารย์ไตรรัตน์ จารุทัศน์ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางการออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน ภาควิชาเคหการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ที่มีความสนใจและศึกษาการออกแบบชีวิตสูงวัยในถิ่นเดิม เพื่อเติมเต็มมุมมองของการนำแนวคิด Ageing in Place ไปขับเคลื่อนสังคมผู้สูงวัยในประเทศไทย



ระบบสวัสดิการทางสังคมเพื่อความสุขผู้สูงอายุไทยและแนวทางยั่งยืนในสังคมสูงวัย

สถิติผู้สูงอายุไทยหกล้มปีละ 5 ล้านคน

         อาจารย์ไตรรัตน์ เริ่มต้นชี้ประเด็นสำคัญของการที่จะต้องนำไอเดียสูงวัยในถิ่นเดิมมาปรับใช้ในประเทศไทยได้แล้วด้วยข้อมูลสถิติที่น่าตกใจ

          ซึ่งส่วนมากเป็นกรณีของผู้สุงอายุที่อยู่ในสังคมชนบท เป็นครอบครัวผู้สูงอายุเดี่ยวคืออาจจะอยู่คนเดียวหรือมีตายายอยู่กันสองคน ลูกหลานอพยพจากชนบทมาอยู่ในเมืองหมด ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ต้องดูแลตัวเอง อยู่ในบ้านหลังเก่า บางบ้านในชนบทเป็นบ้านยกใต้ถุนสูงต้องขึ้นลงบันได ส่วนใหญ่แยกห้องน้ำออกจากบ้านทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มมากขึ้น อาจารย์ยังเล่าต่ออีกว่า งานวิจัยจากสำนักประชากรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสำรวจบ้านของผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน พบว่า มีเพียง 10 % เท่านั้นที่มีการปรับสภาพบ้านให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ส่วนอีก 90 % นั้นไม่มีเลย

          ซึ่ง 4 จุดสำคัญที่ ผู้สูงอายุหกล้มบ่อยนั้น ได้แก่ จุดที่ 1 ห้องน้ำ ซึ่งส่วนมากเป็นพื้นต่างระดับ พื้นลื่น ไม่มีราวจับ ส้วมนั่งยอง จุดที่ 2 คือ บันได ห้องนอนส่วนมากอยู่ชั้นบน บ้านในชนบทส่วนมากบันไดไม่มีราวจับ และไม่มีลูกตั้งปิดจึงทำให้มองเห็นขั้นบันไดยากขึ้น จุดที่ 3 คือ ในห้องนอน นอนนานๆ ลุกขึ้นมาหน้ามืดเป็นลมหกล้มได้ อีกกรณีหนึ่งคือ ลื่นเพราะรองเท้าที่ใส่ภายในห้องหรือพรมปูพื้นขนาดเล็กในห้องนอน และความสูงของเตียงไม่พอดี เวลาลุกขึ้นยันตัวไม่ถนัดก็ลื่นล้มได้เช่นเดียวกัน จุดสุดท้ายคือ พื้นที่รอยต่อในบ้าน ทางต่างระดับ รอยต่อระหว่างในบ้านนอกบ้านที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ ฝนตกลื่น มีปูนกั้นขวางทางเดิน เป็นต้น

          พื้นที่ทางกายภาพในชุมชนก็เช่นเดียวกัน จากการสำรวจพบว่าสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุในพื้นที่สาธารณะ พบมากสุดที่โรงพยาบาล แต่มีแค่ 40% เท่านั้น อีก 60% พบว่าไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ โดยเฉพาะพื้นที่ในชนบท รพ.สต. เป็นอาคารสองชั้นบันไดสูงและพื้นลื่น ส่วนที่อื่นๆ เช่น ตลาด สวนสาธารณะ วัด มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุน้อยมาก

          เมื่อพื้นที่ในบ้านก็ไม่ปลอดภัย พื้นที่ภายนอกก็ยิ่งอันตราย จะทำให้ผู้สูงอายุสูงวัยในถิ่นเดิมได้อย่างไร



ระบบสวัสดิการทางสังคมเพื่อความสุขผู้สูงอายุไทยและแนวทางยั่งยืนในสังคมสูงวัย

ทำไมต้องสูงวัยในถิ่นเดิม

          ไม่ใช่เพียงแต่ในสังคมโลกตะวันออกเท่านั้น ที่ผู้สูงอายุมีความคุ้นเคย สะดวกใจกับถิ่นที่อยู่เดิม ในสังคมโลกตะวันตกก็เช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่ผู้สูงอายุไทยจะอยู่ในถิ่นเดิม มีน้อยมากที่ย้ายออก เพราะว่าสะดวกสบายใจ มีความคุ้นชิน จะไปตลาด ไปสวนสาธารณะ มีพื้นที่ทางสังคมที่อยากจะออกมาทำกิจกรรมประจำวัน

         ทั้งนี้แนวคิด “Ageing in Place” มี 3 ความหมาย อาจารย์ไตรรัตน์ได้อธิบายว่า

          “เขาพร้อมที่จะจ่าย เพื่อที่เขาจะได้สิ่งที่ดีกลับมา เรียกได้ว่า ของฟรีไม่มีในโลก”อาจารย์ศศิพัฒน์ กล่าว

         แต่ทั้งนี้จะเกิดขึ้นได้ อาจารย์ไตรรัตน์กล่าวว่า ต้องมี 3 อย่าง คือ 1) บ้านที่ผู้สูงอายุอยู่ต้องปลอดภัย มีการปรับปรุงจุดหกล้ม 4 จุดในบ้านแล้วโดยใช้หลัก universal design 2) พื้นที่ภายนอกรอบๆ บ้าน สังคมชุมชนต้องช่วยๆ กันดูแลผู้สุงอายุ ให้ความช่วยเหลือ Aging in place จะไม่เกิดถ้าผู้สูงอายุยังอยู่คนเดียว ต้องดึงผู้สูงอายุออกจากบ้านด้วย 3) ระบบบริการสุขภาพในชุมชน ความเป็นอยู่อาหารการกิน เรื่องของกิจกรรมนันทนาการ การดูหนังฟังเพลง ซึ่งสามารถบริการผู้สูงอายุได้ในชุมชน

         ซึ่ง 3 สิ่งนี้ อาจารย์ไตรรัตน์เองมองว่า อสม. เป็นกลไกในพื้นที่ที่น่าชื่นชมสามารถช่วยเหลือให้เกิดทั้ง 3 อย่างในตัวคนเดียวได้ และหลายชุมชนในประเทศไทยมีตัวอย่างที่ดี แต่ก็มีจำนวนน้อยมากๆ และยังไม่ถูกนำเสนอมากนัก อย่างไรก็ตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรต้องเป็นองค์กรหลักที่ส่งเสริม สนับสนุน สร้างความร่วมมือกับ รพ.สต.และ อสม. จะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุไทยดีขึ้น

         แต่แนวคิด Aging in place เป็นเพียงส่วนหนึ่งในมิติด้านที่อยู่อาศัยของผู้สุงอายุเท่านั้น ในภาพกว้างหรือร่มใหญ่แล้ว เราต้องสร้างชุมชนที่เป็นมิตรต่อผู้สูงวัย (Age – Friendly Communities)



ระบบสวัสดิการทางสังคมเพื่อความสุขผู้สูงอายุไทยและแนวทางยั่งยืนในสังคมสูงวัย

ชุมชนที่เป็นมิตรต่อผู้สูงวัย (Age – Friendly Communities)

          อาจารย์ไตรรัตน์ได้เล่าต่อว่า ในอีก 9 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) หมายความว่า มีประชากรผู้สูงอายุถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด เมื่อถึงจุดนั้นเมืองจำเป็นต้องปรับให้เป็นชุมชนที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ

          นอกจาก 3 สิ่ง ที่เป็นการปรับพื้นที่ทางกายภาพจากแนวคิดสูงวัยในถิ่นเดิม หรือ Aging in place แล้ว จะต้องมีอีก 5 สิ่งที่เป็นมิติสภาพแวดล้อมทางสังคมเพื่อนำไปสู่สังคมที่เป็นมิตรต่อผู้สูงวัย ได้แก่ 1) ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร มีช่องทางสื่อสารกลุ่มสังคมได้ รวมถึงแยกแยะข่าวลวงข่าวหลอกที่ได้รับมาได้ 2) ดึงผู้สูงอายุเข้ามามีส่วนร่วมพร้อมกับคนช่วงวัยอื่นมาทำกิจกรรมทางสังคมได้ 3) ทุกคนเกิดความยอมรับนับถือกันและกัน สร้างการยอมรับนับถือให้เกิดขึ้นในชุมชน ทำให้กิจกรรมงานในชุมชนสำเร็จได้ง่าย 4) มีบริการด้านสุขภาพ และ 5. มีระบบเศรษฐกิจที่ดี ผู้สูงอายุสามารถพึ่งพาตัวเองได้

          การสร้างชุมชนที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ ต้องสร้าง 5 อย่างทางสังคมนี้ก่อน 3 อย่างเชิงกายภาพ บางพื้นที่ทำ ศูนย์ออกกำลังกาย ซึ่งเป็นเชิงกายภาพขึ้นมาก่อน แต่ผู้สูงอายุไม่มาใช้ หรือทำระบบขนส่งมวลชนอย่างดี แต่ผู้สูงอายุสะดวกขี่จักรยานมากกว่า สิ่งที่ผู้สูงอายุต้องการแท้จริงแล้วคือเลนจักรยาน เป็นต้น

          แล้วในรูปแบบของสังคมเมือง จะสามารถสร้างชุมชนที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุได้หรือไม่ เมื่อคนเมืองส่วนใหญ่ชอบอยู่คนเดียว



ระบบสวัสดิการทางสังคมเพื่อความสุขผู้สูงอายุไทยและแนวทางยั่งยืนในสังคมสูงวัย

การสร้างชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุในสังคมเมือง

         คงเป็นคำถามของคนทำงานด้านการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุในสังคมเมืองไม่น้อยว่า จะสร้างชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุให้เกิดขึ้นในสังคมเมืองที่มีรั้ว ต่างคนต่างอยู่ ไม่รู้จักกันได้อย่างไร บางคนชอบสันโดษอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร ตรงนี้ อาจารย์ไตรรัตน์ได้ให้มุมมองของการอยู่คนเดียวว่า ต้องแยกให้ออกด้วยว่าอยู่คนเดียวแบบไหน

          สำหรับสังคมเมืองอาจารย์แนะนำว่าอาจต้องปรับเป็นการสร้างพื้นที่ทางกายภาพก่อนเพื่อดึงให้ผู้สูงอายุในสังคมเมืองออกมาใช้ประโยชน์จากพื้นที่สาธารณะ อาจารย์ยังกล่าวอีกว่า แนวคิดที่สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุต้องอยู่ในระยะเดินได้ 15 นาที นอกจากจะไปสวนสาธารณะได้แล้ว ก็ยังไปร้านอาหาร ไปตลาด ไปวัด ไปศูนย์บริการสาธารณสุขได้ เป็นหลักการง่ายๆ ในการสร้างชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ ในระดับสังคมเมืองด้วยเช่นเดียวกัน ดังจะพบว่าปัจจุบันนี้เริ่มมีผู้สุงอายุขยับย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในคอนโดใกล้สวนลุมพินีมากขึ้นเพราะสามารถเดินทางสะดวก ใกล้สวนสาธารณะ แหล่งอำนวยความสะดวกและโรงพยาบาล

          อย่างไรก็ตามจุดร่วมของสังคมเมืองและสังคมชนบทนี้ คือต้องเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ต้องมีการสร้างกลุ่มการติดต่อสื่อสารกัน กรณีสังคมเมืองอาจใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ แอฟพลิเคชัน ที่ช่วยทำให้เกิดการสื่อสาร การส่งข่าว



          ทั้งนี้ก็ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งอาจเป็น 5% ที่อาจจะอยู่โสดจนสูงวัย ซึ่งอาจารย์ก็กล่าวว่า ในภาคส่วนนโยบายเองอาจจัดสรรพื้นที่ เช่น “สว่างคนิเวศ” ที่สภากาชาติไทยได้จัดเป็นตัวอย่างชุมชนผู้สูงวัยที่ไม่มีลูกหลาน สามารถเข้ามาอยู่อาศัยได้ โดยรูปแบบการบริหารจัดการจากส่วนกลาง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่ผู้สูงอายุยอมรับที่จะจ่าย หากมีพื้นที่แบบนี้ด้วย ผู้สูงวัยก็ยังสามารถสูงวัยในถิ่นเดิมได้ ซึ่งในอนาคต 5 % นี้ (ณ วันนี้) ในอีก 9 ปี ที่ประเทศไทยจะเป็น Super Aged Society ปี 2576 ก็จะขยายเป็น 10 % หรือ 20 % ได้ จึงควรมีที่อยู่อาศัยแบบนี้กระจายอยู่หลาย ๆ เมือง



นอกจากการสร้างปรับพื้นที่ทางกายภาพแล้ว นโยบายสาธารณะก็สำคัญ

          อาจารย์ไตรรัตน์กล่าวว่า ถ้าเรามีความเชื่อเรื่อง Aging in place คนส่วนใหญ่จะต้องดูแลตัวเอง ลูกหลานต้องช่วยเหลือผู้สูงอายุเป็นเบื้องต้น ทั้งนี้ในส่วนภาครัฐเองก็ควรมีนโยบายสนับสนุนให้ลูกหลานดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวตัวเองด้วย โดยรัฐสามารถกำหนดให้มีมาตรการรองรับผู้สูงอายุได้ดีขึ้น




ระบบสวัสดิการทางสังคมเพื่อความสุขผู้สูงอายุไทยและแนวทางยั่งยืนในสังคมสูงวัย

สุดท้ายคนที่ดูแลเรายามสูงวัยได้ดีที่สุดคือเราตอนอายุ 40

“อนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง” — ความกังวลต่อวัยชรามักมาพร้อมกับคำถามที่ไม่มีคำตอบ แต่สิ่งที่แน่นอนคือ หากเราปล่อยให้ความสูงวัยเป็นเพียงภาวะหนึ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่เตรียมการ ความเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมอายุย่อมกลายเป็นภาระทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม อาจารย์ไตรรัตน์ได้ให้ข้อคิดส่งท้ายว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตามคนที่จะดูแลเรายามสูงวัยได้ดีที่สุดคือตัวเราเองในวัย 40 ซึ่งต้องเตรียมความพร้อม 4 ด้าน ตั้งแต่อายุ 40 ได้แก่ 1) เรื่องสุขภาพต้องมาก่อน ดูแลสุขภาพให้ดี 2) เตรียมเรื่องเงิน การออม เก็บเท่าไหร่จึงพอใช้ 3) เมื่อสูงวัยจะอยู่อย่างไรอยู่กับใคร และ 4) สภาพแวดล้อมที่เราอยู่




อยู่ดี… ในที่ที่เราคุ้นเคย

         “อนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง” — ความกังวลต่อวัยชรามักมาพร้อมกับคำถามที่ไม่มีคำตอบ แต่สิ่งที่แน่นอนคือ หากเราปล่อยให้ความสูงวัยเป็นเพียงภาวะหนึ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่เตรียมการ ความเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมอายุย่อมกลายเป็นภาระทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม
          แนวคิด Ageing in Place ที่รองศาสตราจารย์ไตรรัตน์ จารุทัศน์ นำเสนอ ไม่ใช่เพียงเรื่องของการ “อยู่ในที่เดิม” แต่คือการ “อยู่ดี” ในพื้นที่ที่คุ้นเคย มีความปลอดภัย มีผู้คนรายล้อม และมีระบบสนับสนุนให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ต้องรอพึ่งพิงใครเมื่อถึงวันที่ร่างกายอ่อนแรงลง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การสร้าง ชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย (Age-Friendly Communities) ซึ่งไม่ใช่แค่ทางเท้า ราวจับ หรือเตียงนอนที่พอดี แต่หมายถึงโครงสร้างทางสังคมที่เข้าใจ ยอมรับ และรวมผู้สูงวัยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชุมชน
          the SPACE เชื่อว่า หากเราต่างมองการสูงวัยไม่ใช่เรื่องของ “คนอื่น” แต่เป็นเส้นทางที่เราเองก็จะเดินไปถึงได้ในไม่ช้า เราจะเริ่มออกแบบบ้านใหม่ ปรับปรุงถนนหนทาง เชื่อมโยงบทสนทนาในครอบครัว และตั้งคำถามถึงนโยบายที่เราควรผลักดันร่วมกันตั้งแต่วันนี้
          เพราะคนที่จะดูแลเราได้ดีที่สุดในวัยชรา—คือ “ตัวเราในวันนี้” และถ้าเราทุกคนร่วมกันออกแรงผลักดัน ชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัยจะไม่ใช่ภาพฝันอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นโครงสร้างจริงในสังคมไทย ที่ช่วยให้เราทุกคนมีสิทธิ “สูงวัยในที่ที่เราเรียกว่าบ้าน” ได้อย่างงดงาม






special co-creation









ฐาณัฒรวีย์ ศรีสยาม

Educator ที่ยังคงเรียนรู้ทั้งข้างนอกและข้างใน