People to connect with

เชื่อมโยงบุคคลสู่การสร้างแรงบันดาลใจ


ผศ.พญ. สิรินทร ฉันศิริกาญจน


ทำความรู้จักกับ ‘สมองเสื่อม’ ความเสี่ยงที่ท้าทายสังคมสูงวัย



          สังคมผู้สูงอายุเป็นมิติใหม่ของประเทศไทยที่กำลังฉายภาพชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่ตามมาพร้อมกันคือภาวะต่างๆ ของผู้สูงอายุ ที่ภาครัฐ สังคม และครอบครัว ต้องเตรียมพร้อมรับมือ รวมถึงโรคหรือภาวะทางสุขภาพต่าง ๆ ของผู้สูงอายุด้วย

          ‘ภาวะสมองเสื่อม’ เป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพที่พบมากในผู้สูงอายุ ในครอบครัวหนึ่ง หากมีผู้ป่วยสมองเสื่อมเพียง 1 คน จะต้องมีผู้ดูแลใกล้ชิดด้วยอีกอย่างน้อย 1 คน ส่งผลกระทบต่อครอบครัวที่ต้องดูแลทั้งในเรื่องค่าใช้จ่าย การสูญเสียโอกาสทางรายได้ ผลกระทบต่อสุขภาพกายและใจของทั้งผู้ป่วยสมองเสื่อมและผู้ดูแล ทั้งยังส่งผลไปถึงชุมชน สังคม จากค่าใช้จ่ายในการรักษาที่มหาศาลและรายได้มวลรวมของประเทศชาติ เพราะประชากรวัยทำงานต้องรับภาระรอบด้านที่มากขึ้น

          ในภาคสาธารณสุข จึงได้ตื่นตัวและตระหนักถึงปัญหานี้มาอย่างต่อเนื่องด้วยการส่งเสริมความรู้ในการป้องกันและคัดกรองภาวะสมองเสื่อมให้กับบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครสาธารณสุข และภาคประชาชนทั่วไป

          วันนี้หลายคนยังสับสนระหว่าง ภาวะสมองเสื่อมกับโรคอัลไซเมอร์ แท้จริงต่างกันไหม? สมองเสื่อม หรือ Dementia สามารถรักษาได้หรือไม่? และเราจะป้องกันตัวเองและดูแลผู้สูงอายุของเราได้อย่างไร จนไปถึงสถานการณ์สมองเสื่อมในไทย รู้หรือไม่ วัยทำงานในวันนี้ คือ ผู้สูงอายุที่เสียงสมองเสื่อมในวันข้างหน้า และสังคมชุมชนจะทำอย่างไร เมื่อในอนาคตอีกไม่ถึง 20 ปี ข้างหน้า มองไปก็พบคนเป็นสมองเสื่อมทั่วไปหมด SPACE interview วันนี้ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ผศ.พญ. สิรินทร ฉันศิริกาญจน หรือ อาจารย์อ้อย นายกสมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม และอาจารย์ประจำสาขาวิชาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล



สมองเสื่อมไม่ใช่สมบัติของผู้สูงอายุ

สมองเสื่อมไม่ใช่สมบัติของผู้สูงอายุ

         เราเริ่มบทสนทนากับอาจารย์อ้อย ด้วยการทำความเข้าใจกับภาวะสมองเสื่อม เพราะเชื่อว่าทุกวันนี้หลายคนยังคงสับสนว่าสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์นั้นเป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่ อาจารย์อ้อยได้เปรียบเทียบให้เราเข้าใจได้อย่างง่ายขึ้นว่า

         ‘สมองเสื่อม’ คือ อาการที่สมองมีความสามารถในการทำงานลดลง เปรียบเทียบให้ง่าย เหมือนถ่านไฟฉายที่เคยมีแสงสว่างจ้า ต่อมาแสงอ่อนลง แปลว่า ถ่านเริ่มเสื่อมแล้วต้องเปลี่ยน คำว่า ‘เสื่อม’ หมายความว่าของที่เคยดีแล้วแย่ลง ถ้าเราเรียก ‘สมองเสื่อม’ นั่นหมายความว่าสมองที่เคยดีอยู่นั้นแย่ลง เกิดขึ้นและพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ แต่ทั้งนี้ อาจารย์อ้อยก็ได้ย้ำว่า

         อาจารย์อ้อยได้อธิบายต่อว่า เมื่อสมองเสื่อมคืออาการจากที่สมองเคยดีนั้นแย่ลง และการแย่ลงนี้ไม่สามารถที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ เช่น คนไข้คนหนึ่งเคยขับรถเป็นคนส่งของ ซึ่งเป็นร้านประจำที่เคยส่งของอยู่ทุกวัน แต่วันหนึ่งโทรกลับมาถามว่าร้านนี้ต้องเลี้ยวซ้ายหรือขวา ทั้ง ๆ ที่เคยทำอยู่ประจำ เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ความสามารถแย่ลง และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต การทำงาน การนัดหมายต่าง ๆ จะเรียกกลุ่มนี้ว่าสมองเสื่อม



สมองเสื่อมไม่ใช่สมบัติของผู้สูงอายุ

สมองเสื่อมกับอัลไซเมอร์ต่างกันอย่างไร

         เพื่อให้เราเข้าใจได้อย่างชัดเจนมากขึ้นถึงความแตกต่าง อาจารย์อ้อยจึงอธิบายถึงสาเหตุของสมองเสื่อมทีละข้อโดยละเอียด สาเหตุที่ทำให้สมองเสื่อมนั้น เกิดได้จากหลายอย่าง ทั้งนี้ในสาเหตุหลายอย่างนี้ ทางการแพทย์แบ่งเป็นสองส่วน คือ

         เภาวะสมองเสื่อมที่เกิดจากเซลล์ในสมอง เซลล์ประสาท หรือ นิวรอน (neuron) ซึ่งมีหน้าที่รับข้อมูลใหม่นั้นทำงานได้ไม่เหมือนเดิม

         ในสมองส่วนความจำของคนเรานั้นจะมีพื้นที่เก็บข้อมูลที่ได้รับเข้ามาเพื่อนำมาเรียกใช้ เช่น เราจำได้ว่าคนนี้ที่เจอเมื่อวันก่อนชื่ออะไร แต่ถ้าเซลล์สมองในส่วนพื้นที่รับข้อมูลใหม่นี้เสียไป หรือเซลล์สมองที่จะรับความจำตรงนี้สลายไป อันนี้เราเรียกว่า “อัลไซเมอร์” หมายถึงเซลล์สมองที่จะรับความความใหม่ ทำงานได้ไม่เท่าเดิม

         ด้วยสองสาเหตุนี้ ในคนไข้สมองเสื่อม 100 คน จะมี 2 สาเหตุนี้ อยู่รวมกัน 80-90 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือจะเป็นสมองเสื่อมจากสาเหตุอื่น เช่น การขาดอาหาร การกระทบ-กระแทก-กระเทือนรุนแรง การดื่มแอลกอฮอล์มาก การใช้ยาเสพติด เหล่านี้ทำให้สมองเสียหาย หรือคนไข้มีการติดเชื้อมาเลเรียขึ้นสมอง หรือเกิดอุบัติเหตุต้องนอนหรือหลับไปเป็นเวลานาน คนไข้เหล่านี้เมื่อสูงอายุมีโอกาสเป็นสมองเสื่อมมากกว่าคนทั่วไป

         ทั้งนี้ยังมีอีก 1 สาเหตุของสมองเสื่อมที่อาจารย์อ้อยเล่าว่า พบบ่อยขึ้นในช่วงระยะที่ผ่านมาแต่เป็นผลข้างเคียงที่สามารถรักษาได้ ได้แก่ สมองเสื่อมจากโรคน้ำท่วมสมอง สมองเสื่อมจากโรคน้ำท่วมสมอง ตรวจเจอไว แก้ไขได้เร็ว

         โดยปกติในสมองคนเราจะมีการสร้างน้ำเลี้ยงในสมองโดยธรรมชาติ และมีการถ่ายออกโดยระบบร่างกาย เรียกได้ว่า สร้าง 10 ออก 10 แต่ถ้าเกิดการสร้างเท่าเดิมแล้วไหลเวียนออกไปไม่ดี น้ำเลี้ยงนั้นจะคั่งในสมอง

         อาการประเภทนี้ ถ้าคนไข้มาเร็ว หลังจากระบายน้ำออก 1-2 วัน จะมีอาการดีขึ้น หลังจากที่เดินไม่ดี จะกลับมาเดินได้ปกติ อาจารย์อ้อยได้ฝากย้ำว่า “หากถ้าตรวจเจอ ขอให้รีบดำเนินการเพราะการผ่านี้เล็กน้อยมาก หากเทียบกับการผ่าไส้ติ่ง หรือไส้เลื่อน ใช้เวลานิดเดียวเท่านั้น”



สมองเสื่อมไม่ใช่สมบัติของผู้สูงอายุ

สมองเสื่อมรู้เร็วประคองได้ทัน

          เมื่อทราบสาเหตุของภาวะสมองเสื่อมที่อาจเกิดขึ้นได้แล้ว จึงเป็นคำถามต่อว่า แล้วเราในฐานะคนทั่วไปจะสามารถสังเกตได้อย่างไรบ้างว่าคนในครอบครัว มีอาการบ่งชี้ถึงภาวะสมองเสื่อม อาจารย์อ้อยได้กรุณาอธิบายเราเป็นข้อ ดังนี้

          ทั้งนี้อาจารย์กล่าวว่า จะอย่างไรก็ตามการจะชี้ได้ชัดว่าเป็นสมองเสื่อมหรือไม่นั้นต้องตรวจและวินิจฉัยโดยแพทย์ เพื่อดำเนินการช่วยเหลือ รักษา ในขั้นตอนต่อไป “ภาพรวมคือ การที่เคยทำสิ่งที่ทำเป็นประจำไม่ได้ หรือมีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ผิดปกติไปจากเดิม เป็นข้อสังเกตได้แล้ว” อาจารย์อ้อยกล่าว



ป้องกันสมองเสื่อมด้วยการปรับพฤติกรรม

          อาจารย์อ้อยกล่าวว่า ภาวะสมองเสื่อม เป็นสิ่งที่เรารู้ว่า เราทำให้หายไปหมดไม่ได้ เรามีความเสี่ยงอยู่กับตัวเรา แต่เราจะทำอย่างไร ให้ความเสี่ยงนี้น้อยลง อาจารย์อ้อยได้ให้ข้อพึงระวังและปฏิบัติที่สำคัญ 15 ข้อ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ อย่างนี้อย่าทำ 5 ข้อ และ ทำให้ดี 10 ข้อ

          อีก 5 ที่ควรทำให้ดี สำหรับคนที่มีโรคภัยไข้เจ็บ ต้องระมัดระวัง คือ เรื่องของความดันโลหิตสูง ต้องคุมให้อยู่ที่ระหว่าง 100-130 ตัวบน คุมเบาหวานให้ใกล้เคียงกับคนปกติ หมั่นเชคและควบคุมไขมันในเลือด เรื่องสุดท้ายคือ การใช้ยา ต้องระมัดระวังยาที่มีผลต่อสมองโดยตรง ได้แก่ ยาคลอเฟนิรามีน (Chlorpheniramine: CPM) เป็นยาที่ผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยง

          กล่าวโดยสรุป ถ้าเราสามารถปรับพฤติกรรมเสี่ยงที่จะส่งผลต่อโรค NCDs และเสริมด้วยกิจกรรมที่ทำให้เราได้ใช้ความจำเพื่อใช้งาน ความจำระยะสั้น กับรู้จักที่จะปฏิสัมพันธ์กับผู้คนได้ จะสามารถลดเสี่ยงสมองเสื่อมไปได้ในระดับหนึ่ง แต่หากกลัวมากจนเครียดก็เสี่ยงเป็นได้อีก สายกลางดีที่สุด “อาจารย์ว่าทุกอย่างเป็นสายกลาง เป็นอะไรที่เราทำสบายๆ แล้วก็ดูดี ข้อสำคัญคืออารมณ์ต้องดี ถ้าอารมณ์ไม่ดีร่างกายมันเครียดมากนะคะ แล้วทุกอย่างมันก็จะลำบาก” อาจารย์อ้อยกล่าว



สมองเสื่อมไม่ใช่สมบัติของผู้สูงอายุ

เมื่อเป็นแล้วต้องทำอย่างไร

          ภาวะสมองเสื่อมไม่สามารถรักษาได้ ยกเว้นกรณีสมองเสื่อมจากน้ำท่วมสมอง เมื่อแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าเป็น สิ่งแรกคือ ‘ต้องทำใจว่าการดำเนินของโรคนั้นจะแย่ลงไปเรื่อย ๆ’ สำคัญที่ครอบครัวต้องเข้าใจธรรมชาติของโรคด้วยว่า สิ่งที่เสียไปแล้วไม่สามารถซ่อมได้

         หลายครั้งที่ผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมไม่เข้าใจภาวการณ์ดำเนินของโรค แล้วไม่สามารถรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เช่น การพูดจากับคนไข้ที่อาจไม่รู้เรื่อง การพยายามควบคุมพฤติกรรมของคนไข้ซึ่งนำไปสู่การขัดแย้งทะเลาะ ทำร้ายในที่สุด สิ่งนี้เป็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับผู้ดูแลหากไม่สามารถเข้าใจธรรมชาติของโรคได้ อาจารย์อ้อยได้แนะนำวิธีการคิดที่เหมาะสมกับผู้ดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ว่า

         สำหรับแนวทางการดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์นี้ อาจารย์อ้อยได้แนะนำเว็บไซต์ caregiverthai.com ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับทุนพัฒนาจากกองทุนวิจัยแห่งชาติ เพื่อสื่อสารถึงผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม มีเนื้อหาเรื่องทำอย่างไรเพื่อช่วยให้ทำให้การดูแลสมองเสื่อมดี มีคุณภาพและประคับประคองทั้งผู้ป่วยละผู้ดูแล



สมองเสื่อมไม่ใช่สมบัติของผู้สูงอายุ

สถานการณ์โรคสมองเสื่อมในประเทศไทย

         อาจารย์อ้อยได้เล่าว่า สถานการณ์ผู้ป่วยสมองเสื่อมในประเทศไทยนั้นมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนของผู้สูงอายุที่มากขึ้นทุกปี คาดว่าในจำนวนผู้สุงอายุทั้งหมดจะพบสมองเสื่อมอยู่ที่ 10 เปอร์เซ็นต์ ปี 2567 มีผู้สูงอายุ ประมาณ 20 ล้านคน นั่นหมายความว่าในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยสมองเสื่อม 2 ล้านคน สิ่งที่ท้าทายคือ ผู้สูงอายุมีอายุยืนยาวขึ้น ภาระค่าใช้จ่ายตรงนี้จะส่งผลกระทบเป็นปัญหาในสังคมอย่างมาก ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับประเทศอื่นๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น อังกฤษ ที่ ณ วันนี้ สถานดูแลผู้สูงอายุของรัฐประสบปัญหาขาดทุน ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ด้วยภาระค่าใช้จ่ายที่ยาวนาน และมีแนวทางพยายามให้คนที่มีภาวะสมองเสื่อมอยู่ในชุมชนให้มากที่สุด จนถึงขั้นที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้แล้วจริงๆ จึงรับเข้าสถานดูแล ในแนวคิด Community Service

          ในประเทศไทยเองนั้นยังไม่มีสถานพยาบาลที่รับดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมโดยรัฐ แต่มีแนวทางในการพยายามสร้างความร่วมมือให้เกิดการดูแลโดยชุมชน สังคม โดยการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสร้างเดย์แคร์เพื่อให้ผู้ดูแลสามารถไปทำงานได้ในตอนกลางวัน หรือในรูปแบบครอบครัวอุปถัมภ์

          ปัญหาการเตรียมพร้อมการรับมือกับสังคมสูงวัยและผู้ป่วยสมองเสื่อมนั้น ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะครัวเรือนเท่านั้น การแก้ไขจึงไม่ใช่เพียงปล่อยให้แต่ละครอบครัวฟันฝ่ากันไปด้วยตัวเอง แต่จำเป็นต้องอาศัยภาคส่วนสังคมเข้ามามีส่วนช่วย มีมืออื่นเข้ามาช่วยอุ้มชู ให้เกิดการประคับประคองไปด้วยกันได้

          ธนาคารเวลา เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่อาจารย์อ้อยสนับสนุน ด้วยแนวคิดว่าไปช่วยเหลือคนอื่นแล้วเทียบออกมาเป็นเวลา ถึงวันที่เราต้องการคนมาดูแล เราก็มีคนมาช่วยเหลือ ซึ่งเป็นโครงการที่กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ดำเนินการอยู่ “เราก็เตรียมของเรา เราก็ทำให้คนอื่น วันหนึ่งคนอื่นก็มาคืนให้เรา”

         เพราะวันนี้ที่คุณยังแข็งแรงในอนาคตคุณอาจเปลี่ยนไป คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณจะจำตัวเองได้หรือไม่ ความช่วยเหลือในวันที่เรายังแข็งแรงจะสร้างให้เกิดความช่วยเหลือแก่ตัวเราเองในวันที่อ่อนล้า แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดูแลตัวเองให้ดี ณ วันนี้ รู้จักกิน รู้จักใช้ชีวิตอยู่ในความพอดี สิ่งนี้ อาจารย์อ้อยกล่าวว่า “จะเป็นความมั่นคงถาวรของชาติบ้านเมือง”




เมื่อความทรงจำอ่อนแรง… เราทุกคนต้องแข็งแรงไปด้วยกัน

          ภาวะสมองเสื่อมคือความท้าทายใหญ่ของสังคมสูงวัย ไม่ใช่เพียงเพราะโรคนี้ยังไม่มีทางรักษาให้หายขาด แต่เพราะมันกระทบเป็นลูกโซ่ต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ผู้ดูแล ครอบครัว และสังคมรอบข้าง หากสังคมไม่เตรียมพร้อมตั้งแต่วันนี้ วันหนึ่งเราจะกลายเป็นประเทศที่มีผู้คนมากมายจำอดีตไม่ได้ ใช้ชีวิตลำบาก และไม่มีใครคอยประคอง

          การสนทนากับ ผศ.พญ.สิรินทร ฉันศิริกาญจน หรือ “อาจารย์อ้อย” ทำให้เราเข้าใจว่า “สมองเสื่อม” ไม่ใช่คำพิพากษา แต่คือ “สัญญาณ” ที่กำลังเตือนให้เราทุกคนเริ่มดูแลสุขภาพตัวเอง และร่วมกันออกแบบระบบสังคมที่ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง

          the SPACE เชื่อว่า การรับมือกับภาวะสมองเสื่อม ต้องไม่ใช่เรื่องของใครคนหนึ่ง แต่ต้องเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นวัยทำงานที่ควรเริ่มป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ ครอบครัวที่ควรมีความรู้ในการดูแลผู้ป่วย ชุมชนที่ควรมีโครงสร้างรองรับ หรือรัฐที่ต้องออกแบบนโยบายให้รองรับการดูแลระยะยาวอย่างยั่งยืน

          เราไม่ได้พูดถึงแค่การรักษาผู้ป่วยสมองเสื่อม แต่กำลังพูดถึง การสร้างสังคมที่มีความจำดี สังคมที่จดจำได้ว่า “ไม่มีใครควรถูกลืม แม้แต่คนที่เริ่มหลงลืม”

          และหากวันนี้เรายังเดินได้ จำได้ พูดได้ รักได้ — จงใช้ช่วงเวลานี้ออกแบบชีวิตเพื่อวันข้างหน้า และร่วมมือกันวางรากฐานของสังคมที่จะประคองกันไป แม้ในวันที่ความทรงจำจะเลือนราง






special co-creation









ฐาณัฒรวีย์ ศรีสยาม

Educator ที่ยังคงเรียนรู้ทั้งข้างนอกและข้างใน