บุคคลที่คุณควรรู้จัก
ครูพี่สิน - นายอนพัทย์ หาญชัย
ในสังคมที่ยังเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะสำหรับ “เด็กพิการ” หรือ “เด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ” ซึ่งต้องการรูปแบบการเรียนรู้เฉพาะบุคคลมากกว่าการเรียนตามระบบปกติ เด็กบางคนพูดไม่ได้ เดินไม่ได้ บางคนสื่อสารไม่ได้ด้วยคำพูด แต่รับรู้โลกด้วยสายตา ท่าทาง หรือความเงียบที่ต้องการการตีความ
และในระบบนี้ “ครูการศึกษาพิเศษ” คือผู้แปลความเงียบให้กลายเป็นความเข้าใจ ผู้แปลงข้อจำกัดให้กลายเป็นพัฒนาการ และผู้ที่ช่วยยืนยันว่า การศึกษานั้น ไม่ใช่สิ่งที่สงวนไว้สำหรับคนที่ “เรียนเก่ง” แต่คือเครื่องมือสร้างศักดิ์ศรีให้กับทุกชีวิตที่ยังต้องการเรียนรู้
SPACE interview ชิ้นนี้จะพาไปรู้จักกับชีวิตของ “ครูพี่สิน” หรือ นายอนพัทย์ หาญชัย ครูวิทยฐานะชำนาญการจากศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดอำนาจเจริญ ผู้ทำหน้าที่ครูมานานกว่า 20 ปีในพื้นที่ที่ไม่เป็นข่าว ผู้เลือกจะไม่สอนเด็กให้เหมือนใคร แต่สอนให้เด็กทุกคน “อยู่ในโลกนี้ได้ด้วยตัวเอง” อย่างมีศักดิ์ศรี
และนี่คือเรื่องราวของคนธรรมดา…ผู้ทำให้งานการศึกษาพิเศษ ไม่ได้พิเศษแค่ในชื่อ แต่พิเศษในความหมาย
แม้ชื่อของ "ศูนย์การศึกษาพิเศษ" จะปรากฏอยู่ในหลายจังหวัดทั่วประเทศ แต่บทบาทหน้าที่และระบบการทำงานของสถานศึกษารูปแบบนี้ยังคงคลุมเครือในความเข้าใจของสาธารณชน สำหรับนายอนพัทย์ หาญชัย หรือที่เด็กและผู้ปกครองเรียกขานอย่างคุ้นเคยว่า "ครูพี่สิน" ผู้คร่ำหวอดในแวดวงการศึกษาพิเศษมากว่า 20 ปี บอกว่า งานของครูในศูนย์การศึกษาพิเศษนั้น ซับซ้อนและหนักไม่แพ้งานในโรงเรียนทั่วไป หากแต่เป้าหมายของการเรียนรู้ในที่นี้ ไม่ได้มุ่งที่ความรู้วิชาการ แต่คือการพัฒนา "ทักษะชีวิต" ให้เด็กพิการสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีศักดิ์ศรีและเป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้อย่างแท้จริง
ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัด เป็นหน่วยงานภายใต้สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2539 โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษหรือมีความพิการ โดยรูปแบบการดำเนินงานจะเป็นทั้งสถานศึกษา ศูนย์บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม และศูนย์กลางในการประสานการส่งต่อเด็กไปสู่ระบบการศึกษาหรือฝึกอาชีพ
ปัจจุบันศูนย์การศึกษาพิเศษมีอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ และบางแห่งยังมีศูนย์ย่อยระดับอำเภอ เพื่อให้ครอบคลุมบริการถึงพื้นที่ห่างไกล เช่น ที่จังหวัดอำนาจเจริญมีศูนย์ย่อยที่อำเภอพนาและอำเภอหัวตะพาน ซึ่งมีครูประจำและดูแลเด็กในพื้นที่ตามสัดส่วน ทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของศูนย์ประจำจังหวัด
ภารกิจหลักของศูนย์คือการเป็นแหล่งพัฒนาเบื้องต้นสำหรับเด็กพิการทุกประเภท ตั้งแต่เด็กหูหนวก ตาบอด บกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา การเรียนรู้ พฤติกรรม หรือออทิสติก โดยรับตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 18 ปี จากนั้นอาจส่งต่อไปยัง กศน. หรือหน่วยงานของ พม. เพื่อดำเนินการด้านการศึกษาต่อหรืออาชีพ
ชีวิตของครูพี่สินไม่ได้เริ่มต้นด้วยเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาเกิดในครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะดีนัก ทำให้ต้องออกมาทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเริ่มจากการเรียน กศน. เพื่อจบมัธยมศึกษาตอนปลาย และระหว่างนั้นก็เริ่มเข้าสู่วงการหมอลำ รับงานลำตามเวทีต่าง ๆ ทั้งในภาคอีสานและกรุงเทพฯ เพื่อหารายได้ส่งตัวเองเรียนหนังสือต่อ หลังจากจบ กศน. เขาตัดสินใจเรียนต่อในระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ สาขาการศึกษาปฐมวัย ในระบบภาคพิเศษ เพราะไม่สามารถเรียนภาคปกติได้เนื่องจากต้องทำงานไปด้วย ชีวิตช่วงนั้นเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย เขาต้องเดินทางไปกลับระหว่างเวทีหมอลำและมหาวิทยาลัยอย่างไม่หยุดหย่อน
"ตีสามหยุดลำที่กรุงเทพฯ เช้าเดินทางมาเรียนที่อุบล สี่โมงเย็นไปลำต่อที่นครพนม วนอยู่แบบนี้ห้าปี จนเรียนจบ" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย แต่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า รายได้จากการลำกลางคืนจึงกลายเป็นทุนการศึกษาที่ผลักดันให้เขาเดินหน้าต่อในเส้นทางที่ใฝ่ฝันมาแต่เด็ก
เมื่อเรียนจบ เขายังคงรับงานหมอลำอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากหลานที่ทำงานอยู่ที่ศูนย์การศึกษาพิเศษจังหวัดนครศรีธรรมราช บอกว่าศูนย์ฯ กำลังขาดครูอัตราจ้าง และชวนให้มาลองสมัคร แม้จะไม่มีพื้นฐานด้านการศึกษาพิเศษโดยตรง แต่ด้วยความที่เคยเรียนเอกปฐมวัยซึ่งมีรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับเด็กพิเศษ และเคยฝึกสอนกับเด็กกลุ่มนี้มาก่อน เขาจึงตัดสินใจลองสมัคร
จากจุดเริ่มต้นนั้นเองที่ทำให้ครูพี่สินเข้าสู่วงการการศึกษาพิเศษอย่างเต็มตัว และไม่เคยหันหลังกลับอีกเล
ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดอำนาจเจริญ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเด็กพิการในพื้นที่ โดยมีบทบาทสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ การจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมตามประเภทความพิการ การประเมินและคัดกรองเด็กเพื่อส่งต่อเข้าสู่ระบบบริการอื่น และการลงพื้นที่ดูแลเด็กถึงบ้าน โดยศูนย์จะทำงานแบบบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ เช่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา โรงพยาบาล สาธารณสุข และ พมจ. (สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประจำจังหวัด)
ภารกิจของศูนย์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการสอนในห้องเรียน แต่ยังรวมถึงการออกเยี่ยมบ้านเด็กพิการติดเตียง การคัดกรองพัฒนาการ การประเมินรายบุคคล และการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น เช่น พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อช่วยส่งต่อเด็กเข้าสู่ระบบอาชีพหรือการศึกษาต่อในโรงเรียนที่เหมาะสม
ในทุกๆ วันศุกร์ ครูจะลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเด็กติดเตียงตามอำเภอต่าง ๆ นำสิ่งของจำเป็น เช่น นม ผ้าอ้อม แป้ง ยาสีฟัน ไปมอบให้ พร้อมพูดคุยกับผู้ปกครองเพื่อประเมินปัญหาและหาแนวทางช่วยเหลือแบบองค์รวม ปัจจุบันมีเด็กในความดูแล 215 คน มีทั้งที่เรียนในศูนย์ (ประมาณ 50 คน) และอยู่ตามอำเภอ รวมถึงเด็กติดเตียงที่มีชื่ออยู่ในระบบแต่ไม่สามารถเดินทางมาเรียนได้
หนึ่งในเทคนิคสำคัญในการสอนเด็กพิเศษ โดยเฉพาะเด็กออทิสติก คือการใช้สื่อภาพในการสื่อสาร เช่น บัตรภาพ บัตรคำ หรือสัญลักษณ์ที่เด็กสามารถชี้หรือยื่นให้ครูแทนการพูด
เด็กบางคนแม้พูดไม่ได้ แต่สามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจนผ่านภาพ เช่น ถ้าหิวข้าว จะหยิบภาพจานข้าวมายื่น ถ้าอยากเข้าห้องน้ำ ก็ชี้ภาพห้องน้ำ หรือบางคนแม้ไม่พูดแต่เข้าใจทุกอย่าง ครูต้องเดาความต้องการจากการพยักหน้า สีหน้า หรือการหยิบภาพมาให้ดู
"บางคนพูดไม่ได้ แต่เขารู้ว่าอยากกินนม ก็หยิบภาพกล่องนมมายื่นให้เรา เราก็เข้าใจแล้วว่าเขาต้องการอะไร"
ครูพี่สินเน้นย้ำว่า ความสำเร็จของเด็กไม่ได้เกิดจากครูเพียงลำพัง แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือของครอบครัว โดยเฉพาะในการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน เช่น การนวด การฝึกกินข้าว การดูแลเรื่องการใช้ห้องน้ำ การฝึกพูด หรือการส่งเสริมพฤติกรรมที่สอดคล้องกับการฝึกในโรงเรียน ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง และการใช้แนวทางเดียวกันระหว่างบ้านและโรงเรียน
ศูนย์การศึกษาพิเศษมีทีมสหวิชาชีพ เช่น นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด และนักจิตวิทยา ที่จะร่วมกันประเมินความต้องการของเด็กแต่ละคน และจัดอบรมให้ผู้ปกครองสามารถนำเทคนิคต่าง ๆ ไปใช้เองที่บ้าน เช่น การนวดเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อเด็กที่ขาอ่อนแรง การใช้อุปกรณ์ช่วยฝึกการเคลื่อนไหว หรือแม้แต่การฝึกกลืนสำหรับเด็กที่มีปัญหาในการรับประทานอาหาร
ครูพี่สินเล่าว่า เด็กบางคนที่มีน้ำลายยืด ก็สามารถลดอาการได้ด้วยการนวดจุดต่าง ๆ ที่ใบหน้า ซึ่งต้องทำทุกวันทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน หากทำเพียงที่โรงเรียนแต่กลับไปบ้านไม่ได้รับการดูแลต่อเนื่อง เด็กก็จะไม่เกิดพัฒนาการที่คงที่
"โรงเรียนสอนอย่างไร บ้านต้องทำอย่างนั้น เพราะเด็กต้องฝึกซ้ำเพื่อให้เกิดพัฒนาการต่อเนื่อง"
ในอีกด้าน ครอบครัวที่ขาดความเข้าใจหรือปล่อยให้เด็กอยู่กับตายายที่สูงวัย ก็จะทำให้การฝึกหยุดชะงัก ครูพี่สินพบว่า เด็กหลายคนที่กลับไปบ้านแล้วไม่ได้รับการฝึกซ้ำ ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งเมื่อกลับมาโรงเรียน ส่งผลให้พัฒนาการล่าช้า ดังนั้นการสื่อสารระหว่างครูและผู้ปกครองจึงเป็นกุญแจสำคัญ และโรงเรียนต้องทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา เป็นแหล่งข้อมูล และเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวไปพร้อมกัน
เป้าหมายของครูการศึกษาพิเศษไม่ใช่การปั้นเด็กให้เก่งเหมือนใคร แต่คือการช่วยให้เขาสามารถช่วยเหลือตัวเอง และมีชีวิตที่มีความสุข
ครูพี่สินเล่าถึงเด็กชายคนหนึ่งที่เขาดูแลมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เป็นเด็กดาวน์ซินโดรมที่พูดไม่ได้ กินข้าวไม่ได้ และขับถ่ายเองไม่ได้เลย ในช่วงแรกต้องอุ้มอยู่ตลอดเวลา ใช้เวลาหลายปีในการฝึกจนสามารถเขียนหนังสือ กินข้าวเองได้ เปลี่ยนเสื้อผ้าเองได้ จนกระทั่งอายุ 18 ปี สามารถกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัว ช่วยพ่อแม่ทำถ่านขาย ซักผ้า ล้างจาน และมีสัมมาคารวะ
แม้ระบบศูนย์การศึกษาพิเศษจะพัฒนาไปมาก แต่ครูพี่สินเสนอว่า ยังต้องมีการยกระดับในหลายมิติ ทั้งในเชิงโครงสร้างระบบ และการบริหารจัดการรายกรณี โดยเฉพาะใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ การจัดระบบส่งต่อที่เป็นรูปธรรม การเพิ่มบุคลากรและปรับสัดส่วนการดูแลเด็ก การเตรียมความพร้อมของครูใหม่ และการลดความเหลื่อมล้ำกับระบบโรงเรียนทั่วไป
ประการแรก คือ "การจัดระบบส่งต่อที่ชัดเจน" ซึ่งในปัจจุบันยังไม่เป็นระบบกลาง เด็กที่มี พัฒนาการพร้อมเรียนต่อหรือเข้าสู่สายอาชีพ ควรมีแบบประเมินกลางที่สามารถชี้นำแนวทางได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น ควรไปเรียนที่โรงเรียนสายอาชีพ โรงเรียนโสต หรือได้รับการสนับสนุนจาก พม. ในด้านอาชีพและเงินทุน โดยควรมีการอบรมและเตรียมความพร้อมก่อนการส่งต่อ เพื่อให้เด็กได้ไปต่อในแนวทางที่เหมาะสมกับศักยภาพของตน "อยากให้แบ่งเคสเป็นกลุ่ม ๆ แล้วจัดอบรมให้ความรู้ แล้วค่อยส่งต่อไปยังโรงเรียนหรือหน่วยงานที่เหมาะสมกับเขา"
ประการที่สอง คือ "การเพิ่มบุคลากรครูและการปรับอัตราส่วน" ครูพี่สินเสนอว่า อัตราส่วนครูต่อเด็กควรอยู่ที่ 2 ต่อ 1 โดยเฉพาะสำหรับเด็กที่มีภาวะซ้อน เพราะต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด และไม่สามารถใช้รูปแบบการสอนกลุ่มเหมือนในโรงเรียนทั่วไปได้ "เด็กบางคนมีภาวะหลายอย่าง ต้องมีคนคอยดูอย่างใกล้ชิด ถ้าให้ดี 2 ต่อ 1 ถึงจะไหว"
ประการที่สาม คือ "การเตรียมความพร้อมของครูใหม่" โดยเฉพาะการปลูกฝังทัศนคติที่ถูกต้องต่อเด็กพิการ และการฝึกฝนทักษะในการดูแลเด็กที่มีภาวะแตกต่างอย่างลึกซึ้ง ครูที่ทำงานในสายนี้ต้องมีใจรักจริงและพร้อมต่อทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเด็กที่มีพฤติกรรมรุนแรง การชัก หรือการขับถ่ายที่ไม่สามารถควบคุมได้ "ต้องมีใจ ไม่รังเกียจเด็ก มีขี้มูก ขี้หู ขี้อึ เราต้องรับได้ ต้องทำใจมาก่อนที่จะมาเป็นครูแบบนี้"
ประการสุดท้าย คือ "การลดความเหลื่อมล้ำระหว่างศูนย์การศึกษาพิเศษกับโรงเรียนทั่วไป" แม้จะอยู่ภายใต้สังกัดเดียวกัน (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน – สพฐ.) แต่ศูนย์การศึกษาพิเศษไม่มีระบบปิดเทอม เพราะหากเด็กหยุดฝึกนานเกินไป จะทำให้พัฒนาการถดถอย จึงควรมีนโยบายที่รองรับลักษณะงานเฉพาะของศูนย์ และจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม
ในพื้นที่ที่สังคมอาจยังมองข้าม หรือเข้าไม่ถึง “ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัด” คือกลไกเงียบที่ทำหน้าที่รองรับชีวิตของเด็ก ๆ ที่มีความต้องการพิเศษ—ไม่ใช่แค่ในเชิงการศึกษา แต่คือการพัฒนา “คุณภาพชีวิต” อย่างแท้จริง
เรื่องราวของ “ครูพี่สิน” คือภาพสะท้อนของความมุ่งมั่น ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อศักยภาพของเด็กแต่ละคน และความเชื่อมั่นในพลังของการดูแลที่มีหัวใจอยู่ตรงกลาง บทบาทของเขาไม่ใช่แค่ผู้สอน แต่คือผู้ฟัง ผู้เข้าใจ ผู้ลงมือ ผู้ประสาน และบางครั้งคือผู้เยียวยา ทั้งต่อตัวเด็ก ครอบครัว และสังคม
ในมุมของ the SPACE เราเชื่อว่า “ครูการศึกษาพิเศษ” ไม่ควรถูกมองว่าเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ในระบบราชการ แต่ควรถูกสื่อสารในฐานะ “ผู้สร้างสมดุลทางมนุษยธรรม” ของสังคมที่หลากหลาย การทำงานของเขาคือเครื่องมือเชิงนโยบายที่จับต้องได้ เป็นบทพิสูจน์ว่า “การดูแลคนหนึ่งคนอย่างใกล้ชิด” ย่อมสามารถเปลี่ยนทั้งชีวิตของคนนั้น และทัศนคติของสังคมรอบข้างไปพร้อมกัน
เราขอชวนผู้อ่านทุกคนลองมอง “ความพิการ” ใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่ด้วยสายตาของความสงสาร แต่ด้วยความเข้าใจว่า การศึกษาคือสิทธิของทุกคน และครูอย่างพี่สิน กำลังทำให้สิทธินั้นเป็นจริงในทุก ๆ วัน บทบาทของครูการศึกษาพิเศษจึงไม่เพียงสำคัญในระดับบุคคล แต่คือเสาหลักของระบบที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็กพิการมีชีวิตที่ดีกว่า และสังคมสามารถอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจและเห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน
เชื่อในพลังของการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ สนใจสำรวจเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คน วิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะรากเหง้าอีสาน ชื่นชอบการเดินทางเพื่อเปิดโลกใหม่ ๆ และชอบคลายเครียดด้วยทำอาหาร