บุคคลที่คุณควรรู้จัก
พี่ปุ๊ย ปทุมรัตน์ เกตุเล็ก
“บางคนบอกว่า พี่ปุ๊ยเหมือนนางฟ้า…แต่เราว่า เราแค่ไม่อยากเห็นใครต้องทุกข์โดยไม่มีใครเข้าใจ”
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาความรุนแรงที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน — โดยเฉพาะ กรณีที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยจิตเวชและผู้ใช้สารเสพติด ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของปัจเจก แต่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม
รายงานจากกรมสุขภาพจิต พบว่าในแต่ละปีมีผู้ป่วยจิตเวชที่แสดงพฤติกรรมรุนแรงจำนวนไม่น้อย และในหลายกรณีเป็นผู้ที่เคยมีประวัติการใช้สุรา ยาเสพติด หรืออยู่ในภาวะเสี่ยงซ้อนซับที่ระบบบริการสุขภาพไม่สามารถดูแลได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน รายงานข่าวในช่วงหลังยังสะท้อนให้เห็นว่า ความรุนแรงในครอบครัวหลายกรณีมีต้นตอจากการเสพติดสารเสพติดโดยเฉพาะในกลุ่มชายวัยทำงาน — ซึ่งไม่เพียงทำร้ายคนในบ้าน แต่ยังทำลายโครงสร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจในชุมชน
ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน และไม่สามารถแก้ได้ด้วยการบำบัดเพียงครั้งเดียว แต่ต้องอาศัยการดูแลแบบ “องค์รวม” ที่เชื่อมโยงทั้งระบบสาธารณสุข ภาคสังคม และหัวใจของคนทำงานแนวหน้า
ในท่ามกลางความซับซ้อนนี้ มีใครบางคนที่ยืนหยัดอยู่กับ “ความทุกข์” ของผู้คนมาตลอด 40 ปี — ไม่ใช่ในฐานะหมอ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ในฐานะ “คนธรรมดา” ที่เชื่อว่า “ความรัก” และ “ความเข้าใจ” คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการเยียวยาหัวใจมนุษย์
ไม่ใช่ทุกวันที่เราจะได้พบกับคนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่อุทิศชีวิตเพื่อดูแล “ความทุกข์” ของผู้คนมากมาย และไม่ใช่ทุกวันที่เราจะได้รู้ว่า เบื้องหลังความเจ็บปวดจาก “ยาเสพติด” หรือ “ปัญหาทางจิตเวช” ที่ซ่อนตัวอยู่ในชุมชนของเรา มีใครบางคนที่คอยแบกรับและเยียวยามันมาอย่างยาวนาน
“พี่ปุ๊ย” ปทุมรัตน์ เกตุเล็ก คือหนึ่งในนั้น — เธอไม่ใช่แค่พยาบาล ไม่ใช่แค่คนทำงานด้านสุขภาพจิต แต่เป็นผู้หญิงที่เลือก “เดินเข้าหาความทุกข์ของคนอื่น” ด้วยหัวใจที่ไม่กลัวบาดแผล และเชื่อมั่นว่า “ความรัก” และ “ความเข้าใจ” คือสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตคนได้จริง
ย้อนไปเมื่อราวสองทศวรรษก่อน พี่ปุ๋ยเริ่มทำงานในฐานะ พยาบาลวิชาชีพ หัวหน้ากลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด โรงพยาบาลประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี หน้าที่ของเธอคือการดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพจิต และผู้ใช้สารเสพติด ซึ่งในบางปีมีจำนวนมากถึงกว่า 1,000 คน — ตัวเลขที่ไม่ใช่แค่สถิติ แต่มันคือ “เรื่องเล่าความเจ็บปวด” ของชีวิตนับพันที่ไม่มีใครเห็น
การเสพติดไม่ใช่เรื่องของ “ใจไม่สู้” อย่างที่หลายคนเชื่อ แต่มันคือ “กลไกของความเจ็บปวด” ที่ซับซ้อน — พี่ปุ๋ยถอดรหัสปรากฏการณ์นี้ไว้ในสามคำง่าย ๆ แต่ชัดเจน:
สถานการณ์ในประเทศไทยวันนี้สะท้อนสิ่งที่พี่ปุ๊ยเคยเผชิญ — ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตระบุว่า มีผู้ป่วยจิตเวชราว 2.4 ล้านคน และกว่า 1 ใน 4 มีปัญหาจากการใช้สารเสพติด ขณะเดียวกัน กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดรายงานว่า เด็กและเยาวชนตกเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่ถูกแทรกซึมจากยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ขาดการดูแลทางสังคม
ในขณะที่หลายคนเลือกจะอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยของโรงพยาบาล พี่ปุ๋ยกลับเลือกเดินเข้าสู่ “พื้นที่เสี่ยง” ของสังคม เพราะเธอรู้ดีว่า…การบำบัดที่ดีที่สุดไม่ใช่แค่ยา หรือคำแนะนำจากแพทย์ แต่คือ ชุมชนที่เข้าใจและพร้อมจะดูแล
ความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของพี่ปุ๊ย เกิดขึ้นจากการได้ฟังใครคนหนึ่งพูดในเวทีหนึ่ง — เวทีเล็ก ๆ ที่ไม่ได้เน้นข้อมูลทางวิชาการหรือแผนยุทธศาสตร์ แต่เต็มไปด้วยพลังของ “ความเข้าใจมนุษย์” ผ่านแนวคิดที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งว่า “คนเห็นคน” แนวคิดนี้สะกิดใจพี่ปุ๊ยอย่างแรง เพราะในโลกของการทำงานด้านจิตเวชและสารเสพติด ผู้คนจำนวนมากถูก “มองผ่าน” — ถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ของ “ปัญหา” หรือ “ภาระ” มากกว่าการมองว่าเขาคือ “คน” ที่กำลังเจ็บปวด ต้องการความเข้าใจ และสมควรได้รับโอกาสในการเริ่มต้นใหม่
พี่ปุ๋ยจึงเริ่มลงมือเปลี่ยนระบบการทำงานจาก “งานรักษา” เป็น “งานเยียวยา” ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของบุคลากรทางการแพทย์ แต่คือการดึงพลังของทุกภาคส่วนในชุมชนมาร่วมกัน
พี่ปุ๊ยเริ่มเชื่อมโยงคนหลากหลายบทบาทเข้าด้วยกัน — ตั้งแต่ แพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา อสม. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แกนนำชุมชน ผู้ที่เคยเสพและผ่านการบำบัด รวมถึงครอบครัวของผู้ป่วย — มานั่งคุยกันเพื่อออกแบบกระบวนการดูแลแบบ “ร่วมมือ” ที่ไม่ใช่การสั่งการจากบนลงล่าง แต่คือการฟังซึ่งกันและกันจากรากฐานของความเป็นมนุษย์
พี่ปุ๊ยเปรียบการทำงานร่วมกันเหล่านี้ว่าเหมือน “วงดนตรีวงใหญ่” — ที่มีเครื่องดนตรีหลากหลาย ทั้งกลอง เปียโน ไวโอลิน ขลุ่ย และซอ การจัดการปัญหาสุรา ยาเสพติด หรือสุขภาพจิต ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ลำพังจากโรงพยาบาล หรือจากใครคนใดคนหนึ่ง เพราะปัญหาเหล่านี้ซับซ้อน มีบริบทสังคม ครอบครัว และเศรษฐกิจเข้ามาเกี่ยวข้องทุกขั้น งานของพี่ปุ๊ยจึงเป็นการประสานจังหวะของทุกคน ให้เล่นไปในเพลงเดียวกัน — เพลงแห่งความหวัง ความเข้าใจ และการเยียวยา
สิ่งที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นจากการเชื่อมโยงนี้ ไม่ใช่แค่ “ระบบบริการสุขภาพ” ที่เข้มแข็งขึ้น แต่คือ “วัฒนธรรมการดูแลกันเองในชุมชน” ที่มองผู้เสพ ผู้ป่วย หรือผู้พลาดพลั้ง ไม่ใช่เป็นภาระ แต่เป็นเพื่อนมนุษย์ที่เคยล้ม และกำลังต้องการมือประคองให้ลุกขึ้นอีกครั้ง
นี่คือการ “เห็นคนเป็นคน” อย่างแท้จริง — ไม่ใช่เพราะเขาสมบูรณ์พร้อม แต่เพราะเขายังมีศักยภาพที่จะฟื้นกลับมา และส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้อีกหลายต่อ
แนวคิดสำคัญที่สุดที่พี่ปุ๊ยถ่ายทอดและกลายเป็นแนวทางขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ในหลายพื้นที่ของจังหวัดปราจีนบุรีคือยุทธการ “หักหอกเป็นดอกไม้” — แนวคิดที่สะท้อนภาพได้ชัดเจนว่า สังคมไทยในหลายพื้นที่ยังถือ “หอกแห่งการตีตรา” ไว้ในมือ และปักมันลงบนหัวใจของคนที่เคยพลาด
“เราเยียวยาเขาในโรงพยาบาล แต่พอเขากลับบ้าน เขากลับต้องเจอความเกลียดชังจากคนรอบตัว มันก็พังหมด”
พี่ปุ๊ยจึงสร้างกระบวนการที่เชื่อมต่อ บ้าน-ชุมชน-โรงพยาบาล ให้กลายเป็น “ระบบดูแลร่วม” มีทั้งการเยี่ยมบ้าน การบำบัดกลุ่ม การพูดคุยแบบเพื่อนมนุษย์ ไปจนถึงการออกแบบกติกาชุมชน และเวทีเปิดใจ หนึ่งในเรื่องราวที่ยังอยู่ในใจเธอคือ “พ่อบ้าน” คนหนึ่งที่ติดเหล้าอย่างหนักจนครอบครัวเกือบล่มสลาย แต่เขาเลือกเดินเข้ามาขอความช่วยเหลือด้วยตัวเอง เพราะ “กลัวตาย” และอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น หลังเข้าร่วมโปรแกรม “สติบำบัด” 8 ครั้ง เขาสามารถเลิกเหล้าได้สำเร็จ และพาครอบครัวกลับคืนมาอีกครั้ง
การทำงานของพี่ปุ๊ยวันนี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่เคสใดเคสหนึ่ง แต่เริ่มขยายผลอย่างเป็นระบบ — จากระดับชุมชนสู่อำเภอ และไปถึงระดับจังหวัด พี่ปุ๊ยทำงานร่วมกับ สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่มุ่งสร้างสังคมปลอดเหล้า ผ่านการรณรงค์ วิจัย และลงมือทำในระดับพื้นที่ งานของพี่ปุ๊ยจึงไม่ใช่แค่เรื่องของสุขภาพ แต่เป็นเรื่องของ สิทธิ ศักดิ์ศรี และความเป็นมนุษย์
ในวันที่ผู้คนมากมายยังถูกผลักออกจากสังคมเพียงเพราะเคยพลาดหรือมีอดีตที่ไม่สมบูรณ์ พี่ปุ๋ยกลับฝันถึงโลกอีกใบ — โลกที่ “ไม่มีใครต้องเริ่มต้นใหม่ตามลำพัง”
“เราไม่ได้อยากเป็นฮีโร่ แค่อยากเป็นนักกระบวนกรที่ค่อย ๆ พาใครบางคนมองเห็นคุณค่าของตัวเองอีกครั้ง”
นักกระบวนกร ในความหมายของพี่ปุ๋ย ไม่ใช่คนที่ยืนพูดบนเวทีใหญ่ ๆ แต่คือคนที่ “อยู่กับคนอื่นในพื้นที่เล็ก ๆ อย่างเข้าใจ” คนที่รู้จักฟัง ถาม และส่งแรงใจเล็ก ๆ ให้ผู้คนเดินต่อในวันที่โลกทั้งใบดูจะไม่เหลือใครอยู่ข้างเขา พี่ปุ๊ยไม่ได้ฝันถึงอำนาจ หรือการเปลี่ยนแปลงใหญ่โต แต่ฝันอยากเป็น “พลังเงียบ” ที่จุดประกายความหวังในใจคน — คนที่เคยหลงทาง คนที่กำลังล้ม และคนที่ไม่กล้ามองตัวเองในกระจก เพราะในสายตาพี่ปุ๊ย “การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด…เริ่มจากการที่ใครสักคนเชื่อว่าเขามีค่าอีกครั้ง”
และความฝันของพี่ปุ๊ยไม่ได้หยุดอยู่แค่ปัจเจกบุคคล พี่ปุ๋ยยังเฝ้าฝันถึงการสร้าง “สังคมเชิงบวก” ที่ผู้คนมองกันด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ด้วยอคติ หรือการตัดสินจากอดีต เธออยากเห็นสังคมที่ ไม่กลัวความเปราะบางของมนุษย์ และพร้อมยื่นมือให้ในวันที่ใครบางคนกำลังจะจมน้ำ และเพื่อไปถึงตรงนั้น พี่ปุ๊ยเชื่อว่า “หัวใจของการเปลี่ยนแปลง” คือการสร้าง Health Literacy หรือ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ที่ไม่ใช่แค่การรู้ว่าอะไรดี–ไม่ดี แต่คือการเข้าใจว่า “สุขภาพ ไม่ได้แปลว่าไม่มีโรค แต่หมายถึงการรู้ทันตัวเอง เข้าใจจิตใจ และรู้จักพาตัวเองออกจากวงจรของความทุกข์ได้”
พี่ปุ๊ยจึงทำทุกอย่างที่ทำได้ — เพื่อให้ความรู้กลายเป็นเครื่องมือ เพื่อให้ความเข้าใจกลายเป็นสะพาน และเพื่อให้ความหวังเล็ก ๆ กลายเป็นเส้นทางใหม่ในชีวิตของใครบางคน
ท้ายที่สุด พี่ปุุ๊ยฝากถึงทุกคนที่ได้อ่านบทความนี้ว่า ความสุขในการทำงานจะเกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อเราสามารถมีความสุขอยู่บนกองทุกข์ได้ — เพราะความหมายของการทำงานนี้ ไม่ใช่แค่ช่วยให้คนพ้นทุกข์ แต่คือการเป็น “ดอกไม้ดอกแรก” ที่เบ่งบานในใจของเขา…เพื่อเขาจะได้กลับไปปลูกดอกไม้ในใจของคนอื่นต่อไป
เรื่องราวของ “พี่ปุ๋ย” ปทุมรัก เกียรติเล็ก คือบทพิสูจน์ที่งดงามว่า พลังของการเปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งหน้าที่ แต่อยู่ที่หัวใจของผู้คนธรรมดา ที่กล้าเดินเข้าไปในพื้นที่ของความเจ็บปวดด้วยความเข้าใจ
จากพยาบาลจิตเวชที่แบกรับความทุกข์ของผู้คน สู่ “นักกระบวนกร” ที่ค่อย ๆ เชื่อมโยงชีวิตของผู้ป่วย ครอบครัว ชุมชน และระบบบริการสุขภาพเข้าด้วยกัน พี่ปุ๋ยได้เปลี่ยน “วงจรความรุนแรง” ให้กลายเป็น “ระบบการเยียวยา” ที่เริ่มต้นจากคำง่าย ๆ อย่าง “เราเห็นคุณ”
the SPACE เชื่อว่า “การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ยั่งยืน” ไม่ได้เริ่มจากนโยบายบนกระดาษ แต่อาจเริ่มจากใครสักคนที่กล้าทำสิ่งเล็ก ๆ อย่างต่อเนื่อง ด้วยความรักและความศรัทธาในศักยภาพของมนุษย์ บทสัมภาษณ์นี้ไม่เพียงพาเรารู้จักพี่ปุ๋ยในฐานะคนทำงานด้านสุขภาพจิต แต่ยังชวนให้เราตั้งคำถามกับตัวเอง — ว่าในสังคมที่เต็มไปด้วยความเปราะบางนี้ เราจะกล้า “เห็นคนอื่นเป็นคน” ได้มากแค่ไหน?
บางที…คำตอบของสังคมที่ดี อาจไม่ได้อยู่ที่ใครคนหนึ่งลุกขึ้นมาแบกโลกทั้งใบ แต่อยู่ที่เราทุกคนช่วยกันปลูก “ดอกไม้แห่งความเข้าใจ” ลงในใจของกันและกันเชื่อในพลังของการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ สนใจสำรวจเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คน วิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะรากเหง้าอีสาน ชื่นชอบการเดินทางเพื่อเปิดโลกใหม่ ๆ และชอบคลายเครียดด้วยทำอาหาร