บุคคลที่คุณควรรู้จัก
ศศกมล บูรัชฏะ : ครูนก
ในโลกของการศึกษา เด็กปฐมวัยคือเมล็ดพันธุ์เล็ก ๆ ที่ต้องการดิน น้ำ แสง และมือที่ประคองอย่างเข้าใจ “ครูนก – อ.ศศกมล บูรัชฏะ” คือหนึ่งในมือเหล่านั้น เธอไม่ได้เป็นเพียง “ครูอนุบาล” ที่คอยสอนให้เด็กอ่านออกเขียนได้ แต่คือผู้ที่เชื่อว่าการสอนเด็กเล็กคือการวางรากฐานให้มนุษย์คนหนึ่งเติบโตอย่างมีหัวใจ มีทักษะชีวิต และอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างงดงาม
ตลอดกว่า 20 ปีในเส้นทางครูปฐมวัย ครูนกเป็นทั้ง “ครูของเด็ก” และ “ครูของครู” ถ่ายทอดประสบการณ์จากห้องเรียนจริงสู่เวทีทั่วประเทศ เธอเชื่อในพลังของการลงมือทำ และพิสูจน์ด้วยการใช้หัวใจทำงานทุกวัน — ไม่ใช่เพราะหน้าที่ แต่เพราะ “ศรัทธาในอาชีพครู”
ครูนกยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า เธอไม่เคยฝันอยากเป็นครูเลยตั้งแต่แรก
แต่โชคชะตาพาให้เธอได้พบ “แรงบันดาลใจที่เปลี่ยนชีวิต” — เมื่อครูนกได้ไปฝึกสอนที่โรงเรียนซึ่งมี “ดร.วรนาท รักสกุลไทย” หรือ “ป้าหนู” เป็นผู้อำนวยการ โรงเรียนนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต
เมื่อถึงเวลาจบการฝึกสอน ป้าหนูเดินเข้ามาถามตรง ๆ ว่า “ตอนนี้พี่กำลังขาดครูอยู่ หนูอยากเป็นครูไหม?”แม้ใจหนึ่งยังอยากเป็นเลขาอยู่ แต่เธอก็คิดขึ้นได้ว่า “ถ้าทำงานกับป้าหนู ก็เหมือนเป็นเลขาอยู่ดี เพราะได้ช่วยวางแผน คิดงาน และทำงานคู่กัน” นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่กลายเป็นชีวิตจริง — เส้นทางของ “ครู”
ครูนกเติบโตมาโดยไม่มีพ่อแม่ ต้องเลี้ยงน้องตั้งแต่เล็ก ความเป็น “พี่” และ “ผู้ดูแล” จึงฝังอยู่ในตัวตนอย่างลึกซึ้ง เธอเชื่อว่าการเป็นครูปฐมวัยไม่ใช่แค่ “รักเด็ก” แต่คือการ “วางรากฐานให้เขาเป็นคนดี อยู่ในสังคมได้” การได้เห็นสายตาเด็ก ๆ ที่ตั้งใจเรียน หรือรอยยิ้มที่เปื้อนเลอะหลังเล่นสนุก คือพลังที่ทำให้เธอลุกขึ้นมาทำงานทุกวันด้วยหัวใจเต็มเปี่ยม
สำหรับครูนก การเป็นครูไม่ใช่การยืนชี้นิ้ว แต่คือลงมือทำทุกอย่างไปพร้อมกับเด็ก เธอไม่เคยรังเกียจแม้ในวันที่ต้องล้างมือเด็กหรือเก็บเสื้อผ้าเปื้อนอึ เพราะนั่นคือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ชีวิต “ครูต้องลงมือทำด้วยตัวเอง เพราะนั่นคือความรัก ความใส่ใจ และความเป็นครูอย่างแท้จริง” นี่จึงเป็นเหตุผลที่เธอสอนครูฝึกสอนทุกคนให้ “เป็นครูโดยเนื้อแท้” ไม่ใช่ครูที่แค่สั่งงาน แต่ต้องอยู่กับเด็ก เข้าใจเด็ก และเติบโตไปพร้อมกัน
ช่วงแรกของการสอน ครูนกเคยเข้าใจว่าเด็กต้องเรียนรู้ผ่านตำรา แต่เมื่อได้สัมผัสแนวคิด “Project Approach” ที่โรงเรียนของป้าหนู เธอได้เปิดโลกใหม่
ครูนกจึงกลายเป็นครูที่ “แสวงหาความรู้ตลอดเวลา” เพื่อเข้าใจว่าสิ่งใดจะพัฒนาเด็กได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะผ่านนิทาน การเดินทรงตัว หรือกิจกรรมเคลื่อนไหว ทุกอย่างถูกออกแบบให้ “พัฒนาเด็กครบทุกด้าน” เธอเชื่อว่าครูที่ดี ต้องเข้าใจทั้งทฤษฎีและหัวใจของเด็กไปพร้อมกัน
ครูนกให้ความสำคัญกับ “การสื่อสารกับผู้ปกครอง” อย่างมาก เพราะเชื่อว่าการเรียนรู้ของเด็กจะสมบูรณ์ได้ ต้องเกิดจากความร่วมมือของบ้านและโรงเรียน
เธออธิบายอย่างละเอียดถึงพัฒนาการในแต่ละช่วง เช่น เด็กเล็กต้องฟัง–พูดได้ก่อนจึงค่อยอ่าน–เขียน และเมื่อพ่อแม่เข้าใจ “ภาพใหญ่ของการเติบโต” ก็จะไม่เร่งลูกเกินวัย นอกจากนี้ ครูนกยังใส่ใจการสื่อสารกับ “คุณตาคุณยาย” ที่เลี้ยงหลานแทนพ่อแม่อีกด้วย ทุกช่องทางสื่อสารถูกใช้เต็มที่ — ทั้งจดหมายรายวัน กลุ่มไลน์ ภาพกิจกรรม และการพูดคุยหน้าโรงเรียน เพื่อสร้าง “ความไว้วางใจ” ระหว่างครูกับครอบครัว
ครูนกเชื่อว่านิทานคือเครื่องมือมหัศจรรย์ที่เชื่อมโลกแห่งจินตนาการกับการเรียนรู้จริง เด็กจะรอฟังนิทานจากเธอทุกวันด้วยความตื่นเต้น เธอยังใช้ “สื่อของจริง” เป็นอีกอาวุธหนึ่ง เช่น การนำข้าวเปลือก–ข้าวสาร–ข้าวสุกมาสอนเรื่อง “ข้าว” เพื่อให้เด็กได้เห็น ได้จับ และเข้าใจด้วยประสาทสัมผัสทั้งหมด
เมื่อเวลาผ่านไป ครูนกกลายเป็น “วิทยากรด้านปฐมวัย” เดินทางไปสอนทั่วประเทศ ถ่ายทอดประสบการณ์จริงให้ครูรุ่นใหม่ เธอสอนและถ่ายทอดด้วยหัวใจ ไม่ใช่ตำรา เชื่อใน “การแลกเปลี่ยน” มากกว่าการสั่งสอน
หนึ่งในช่วงเวลาที่ครูนก “น้ำตาซึม” คือภาพของเด็กปกติที่จับมือเพื่อนพิเศษให้หันหน้าไปดูการแสดงบนเวที“เราไม่ได้สั่งเขาเลยนะ แต่เขาทำเอง เพราะเห็นเราทำแบบนั้นกับเพื่อนทุกวัน”
ครูนกสอนเด็กทุกคนให้เห็นคุณค่าในความแตกต่าง และใช้ “เพื่อนช่วยเพื่อน” เป็นหัวใจในการเรียนรวม เธอไม่เพียงดูแลเด็กพิเศษ แต่ยังสอนเพื่อนในห้องให้เข้าใจคำว่า “เมตตา”
ในสายตาของครูนก “ครูอนุบาล” คือผู้สร้างรากฐานสำคัญให้กับมนุษย์คนหนึ่งได้เติบโตอย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่เพียงคนดูแลเด็กในแต่ละวัน แต่คือผู้ที่ปลูกฝังนิสัย คุณธรรม และทักษะชีวิตให้เด็กก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เธออยากให้สังคมและผู้บริหารการศึกษา “เข้าใจคุณค่าของครูอนุบาล” มากกว่าที่เป็นอยู่
ครูนกมักพูดเสมอว่า หากผู้บริหารมีโอกาสได้นั่งอยู่ในห้องเรียนปฐมวัยสักวันหนึ่ง จะเห็นความซับซ้อนของงานครูในทุกจังหวะ — ตั้งแต่ดูแลความปลอดภัย ดูแลการกินอยู่ ไปจนถึงการพัฒนาเด็กให้เรียนรู้ผ่านการเล่น การพูดคุย และการอยู่ร่วมกับเพื่อน ครูต้องเป็นทั้งพี่เลี้ยง พี่สาว เพื่อน และที่สำคัญคือ “ต้นแบบของชีวิต” ให้กับเด็ก ๆ ทุกคน
เธอเชื่อมั่นว่า หากผู้บริหารเปิดใจและให้โอกาส ครูอนุบาลจะกลายเป็นกลไกสำคัญที่สุดในการยกระดับระบบการศึกษา หากผู้บริหารเข้าใจและให้โอกาส ครูอนุบาลจะกลายเป็นกำลังสำคัญที่สุดของการปฏิรูปการศึกษาไทยเพราะรากฐานของการเรียนรู้ที่มั่นคง เริ่มต้นตั้งแต่วัยอนุบาล ไม่ใช่เพียงตอนที่เด็กเริ่มอ่านออกเขียนได้
ในอีกด้านหนึ่ง เธออยากส่งเสียงถึงเพื่อนครูทั่วประเทศให้ “อย่าท้อแท้ในอาชีพนี้” เพราะทุกวันที่ครูอยู่กับเด็ก คือวันที่ครูกำลังสร้างอนาคตของชาติอยู่จริง ๆ ครูนกบอกเสมอว่า หน้าที่ของครูไม่ใช่แค่เลี้ยงเด็กให้ผ่านไปวัน ๆ แต่คือการบ่มเพาะมนุษย์คนหนึ่งให้เติบโตอย่างมีคุณค่า มีความสุข และพร้อมอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างเข้าใจ
เธอเล่าด้วยรอยยิ้มว่า ในห้องเรียนของเธอวันนี้ เด็กพิเศษและเด็กปกติเรียนอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน เด็กทุกคนเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือกัน เห็นคุณค่าในความแตกต่าง และเติบโตจากการแบ่งปันมากกว่าการแข่งขัน นี่คือภาพอนาคตของการศึกษาไทยที่เธออยากเห็น — ห้องเรียนที่เต็มไปด้วยความเท่าเทียมและความรัก
ครูนกอยากให้ครูทุกคนยังคงศรัทธาในสิ่งที่ตนเรียนมา กล้าที่จะสอนอย่างเข้าใจในบริบทของเด็กแต่ละคน และอยากให้ผู้บริหารมองเห็นว่า “การพัฒนาเด็กไม่จำเป็นต้องเร่งให้เขาอ่านเขียนได้เร็ว” เพราะสิ่งสำคัญกว่านั้นคือการปลูกฝังทักษะชีวิต ความเมตตา และความเป็นมนุษย์ให้หยั่งรากตั้งแต่วันแรกของการเรียนรู้
เรื่องราวของ “ครูนก – อ.ศศกมล บูรัชฏะ” ไม่ได้เป็นเพียงภาพสะท้อนของครูคนหนึ่งที่รักเด็ก แต่คือภาพแทนของ “หัวใจแห่งความเป็นครู” ที่ยังคงเต้นแรงอยู่ในระบบการศึกษาไทย — หัวใจที่เชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพ และหน้าที่ของครูคือการมองเห็นแสงเล็ก ๆ นั้น แล้วค่อย ๆ ประคองให้สว่างขึ้น
ในวันที่สังคมพูดถึงการพัฒนาเด็กด้วยเทคโนโลยีหรือหลักสูตรใหม่ ๆ ครูนกกลับชี้ให้เห็นว่า สิ่งสำคัญที่สุดอาจไม่ใช่เครื่องมือหรือระบบ แต่คือ “คนที่อยู่หน้าห้องเรียน” — คนที่มีหัวใจ เข้าใจเด็ก และเชื่อในพลังของการเรียนรู้ที่เกิดจากความรัก ความเข้าใจ และความสุข
เธอพิสูจน์ให้เห็นว่า “ครูปฐมวัย” ไม่ใช่ตำแหน่งเล็ก ๆ หากแต่คือรากฐานของความเป็นมนุษย์ในสังคมใหญ่ เพราะเด็กที่เติบโตจากความเข้าใจ จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจคนอื่น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสังคมที่อ่อนโยนกว่าเดิม
ในมุมมองของ the SPACE — ครูนกคือแรงบันดาลใจของคำว่า Noteworthy People Around You อย่างแท้จริง เพราะเธอคือบุคคลธรรมดาที่ทำให้เราเห็นว่า “การใช้หัวใจทำงาน” สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง แม้จะเริ่มต้นจากห้องเรียนเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ และเมื่อครูหนึ่งคนยังเชื่อมั่นในเด็กหนึ่งคนได้ โลกก็ยังมีความหวังอยู่เสมอ
ผู้รักการดื่มด่ำกับกาแฟ อาหาร เบเกอรี่ คาเฟ่ชิล ๆ สนุกกับบอร์ดเกม และทุ่มเทกับงานพัฒนาปฐมวัยที่สร้างอนาคตเด็ก ๆ