เชื่อมโยงบุคคลสู่การสร้างแรงบันดาลใจ
ดร.วรนาท รักสกุลไทย
เด็กหนึ่งคนจะโตเป็นผู้ใหญ่แบบไหน ขึ้นอยู่กับการหล่อหลอมจากกลไกลของครอบครัว สังคม และการศึกษา แน่นอนว่าทุกคนอยากให้ลูกหลานของตนเติบโตขึ้นตามนิยาม “คนดี” “คนเก่ง” ตามที่สังคมคาดหวัง จนบางครั้งก็ทำร้ายเด็กโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยเฉพาะเด็กอนุบาลวัย 3-6 ปีที่ต้องเข้าเรียนหนังสือ พ่อแม่บางคนคิดเพียงว่าต้องเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุด สอนให้อ่านหนังสือได้เร็ว ๆ เขียนได้เร็ว ๆ พอขึ้น ป.1 จะได้เก่งทันเพื่อน โดยไม่ได้สนใจเลยว่าธรรมชาติของเด็กในวัยนี้พร้อมแล้วหรือยังสำหรับการอ่านเขียน ทุกครั้งที่คุณภูมิใจว่าลูกอ่านได้เขียนได้ คุณเคยรู้ไหมว่าพวกเขาทำได้เพราะเข้าใจมันจริง ๆ หรือทำได้เพราะ “จำ” มาทำ
นี่เป็นส่วนหนึ่งจากการได้นั่งฟังบรรยายกับหนึ่งในครูปฐมวัยที่เป็นที่ต้องการในวงการการศึกษาปฐมวัยของประเทศไทย ใคร ๆ ก็อยากเรียนรู้จากครูท่านนี้ และวันนี้ People to connect with ของเราอยากชวนผู้อ่านทุกท่านมารู้จักกับ “ครูป้าหนู” หรือ ดร.วรนาท รักสกุลไทย ผู้บริหารแผนกอนุบาล โรงเรียนเกษมพิทยา
ครูป้าหนูเล่าถึงประสบการณ์ในวัยเด็ก นั่นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ได้คิดฝันว่าจะพาตัวเองมาถึงปัจจุบัน ความคิดที่อยากจะเป็นครูในทุกครั้งที่เล่นกันก็เพราะป้าหนูเป็นน้องสาวคนเล็กของครอบครัว เลยอยากมีบทบาทได้เอาสิ่งที่เรียนมาจากพี่ ๆ มาสอนคนอื่นบ้าง
ครูป้าหนูบอกว่า “เชื่อไหมว่าคนรอบตัวมีอิทธิพลกับชีวิตจริง ๆ เหมือนที่ตำราบอกเลย” เพราะช่วงจะจบมัธยมปลายครูป้าหนูเองยังไม่ได้คิดว่าอยากจะเรียนอะไร แต่เพื่อนสนิทอีก 2 คนบอกว่าจะไปเรียนครุศาสตร์ที่จุฬา ครูป้าหนูกับเพื่อน ๆ เลยได้ข้อสรุปว่าจะพากันไปเป็นครูมัธยมสอนภาษาฝรั่งเศสหรือวิชาสังคม แต่เกิดจุดเปลี่ยนเมื่อขึ้นปี 2 ไปแล้ว ครูป้าหนูและเพื่อนพบว่าตัวเองไม่ได้ลงวิชาฝรั่งเศสไว้ตั้งแต่ปีแรก ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนไปทางอื่น ตอนนั้นสรุปกันได้ว่าไหน ๆ เราก็เลือกเรียนมาทางด้านการทำสื่องั้นเราไปเป็นครูปฐมวัยกันก็ได้ ซึ่งตอนนั้นคณะครุศาสตร์จุฬาได้ปรับเป็นหลักสูตรสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย จากเดิมที่เรียกว่าโปรแกรมการสอนระดับอนุบาล โดยครูป้าหนูเป็นรุ่นที่ 2 ของหลักสูตรนี้ มีนิสิตอยู่ราวสิบกว่าคน และได้มีโอกาสไปฝึกสอนที่โรงเรียนสาธิตของจุฬาฯ ในช่วงที่เรียนอยู่
พอจบจากเมืองไทยแล้วครูป้าหนูก็มีโอกาสได้ไปเรียนที่เมืองนอกเหมือนกับพี่ ๆ คนอื่น จึงเลือกเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ครูป้าหนูเล่าว่า
ครูป้าหนูเล่าต่อด้วยว่า การมาเรียนที่อเมริกาทำให้ได้มีโอกาสเข้าร่วม NAEYC (National Association for the Education of Young Children) สมาคมแห่งชาติเพื่อการศึกษาเด็กเล็ก เป็นองค์กรที่มุ่งส่งเสริมคุณภาพการศึกษาปฐมวัย มีบทบาทในการกำหนดมาตรฐานวิชาชีพ แนวปฏิบัติที่เหมาะสมตามพัฒนาการจากงานวิจัย ซึ่งทำให้เห็นว่าที่นั่นเขาให้ความสำคัญกับระบบการศึกษามาก ครูป้าหนูเลยตัดสินใจเรียนต่อจนถึงระดับปริญญาเอก ทำให้ครูป้าหนูกับบทบาทของครูปฐมวัยมีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
ครูป้าหนูเริ่มต้นกลับมารับราชการครูอย่างเป็นทางการที่โรงเรียนอนุบาลระยอง จังหวัดบ้านเกิดในระยะเวลาหนึ่ง แต่ความยึดมั่นในเรื่องการพัฒนาเด็กที่ต่างไปจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ทำให้ครูป้าหนูตัดสินใจย้ายกลับเข้ามาทำงานส่วนกลางที่โรงเรียนอนุบาลสามเสน จากนั้นก็ได้รับโอกาสให้ออกไปช่วยทำงานระดับนโยบายด้านการศึกษาร่วมกับ ดร.รุ่ง แก้วแดง อดีตผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการในหลาย ๆ บทบาท และได้รับคำแนะนำจาก ดร.รุ่ง ให้ไปศึกษาเพิ่มด้านบริหารควบคู่ไปด้วย
ภายหลัง ดร.รุ่งได้ย้ายไปทำงานต่างกรม การติดสอยห้อยตามไปทำงานด้วยกันจึงเป็นเรื่องที่ทำให้ครูป้าหนูเริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่ทางของตัวเองแล้ว ในเวลาเดียวกันนั้นเองผู้บริหารของโรงเรียนเกษมพิทยาได้มาทาบทามให้ครูหนูมาช่วยบริหารแผนกอนุบาลให้
หลังการเจรจาตกลงกันเรียบร้อย ครูป้าหนูจึงตัดสินใจลาออกจากราชการและเข้ามาทำหน้าที่ผู้บริหารแผนกอนุบาลของโรงเรียนเกษมพิทยาตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบันร่วม 33 ปี
เมื่อถามว่าจากการเป็นครูคนหนึ่ง สู่การเป็นผู้บริหารในแผนกอนุบาล อะไรที่ไม่เปลี่ยนไปเลยในตัวครูป้าหนู ครูป้าหนูตอบว่า
เมื่อขอให้ครูป้าหนูเล่า 1 ภาพในห้องเรียนที่ทำให้รู้ว่า “การเล่น” เปลี่ยนแปลงเด็กได้จริง ครูป้าหนูนึกได้อย่างไม่ลังเลเลยจากประสบการณ์ที่โรงเรียนอนุบาลทุกแห่งเคยชินอยู่แล้ว
“อย่างแรกเลยคือการต่อบล็อกไม้ พ่อแม่ต้องเข้าใจก่อนว่าการเล่นบล็อกไม้มีประโยชน์กับเด็กมาก ๆ สามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้และพัฒนาการได้จากการเล่นถึง 7 ระดับ ตามลำดับพัฒนาและช่วงวัย” เช่น
และปิดท้ายการเล่าเรื่องนี้ไว้ว่า “กระบวนการเหล่านี้สามารถวัด IQ (Intelligence Quotient) ได้ด้วย เชื่อไหมว่ามนุษย์เราจะมีพัฒนาการเปลี่ยนไปทุก ๆ 10 ปี เช่น ตัวอย่างที่สังเกตได้เลยคือเด็กผู้หญิงทุกวันนี้มีประจำเดือนไวขึ้น ฯลฯ แต่สำหรับเด็กไทยไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ IQ ไม่เปลี่ยนเลย”
ครูป้าหนูเล่าถึงตัวเองที่แสวงหาการเรียนรู้อยู่เสมอ พร้อมเปิดไอแพดโชว์ประกาศนียบัตรล่าสุดที่เพิ่งได้จากการเข้าอบรมเก็บชั่วโมงเรียนออนไลน์ ครูป้าหนูเล่าว่าจริง ๆ เวลาที่ว่างจากการทำงานส่วนหนึ่งก็หาเวลาเติมความรู้ให้ตัวเองอยู่ตลอด บางเรื่องมีงานวิจัยใหม่ ๆ ออกมาแล้วพบว่าดีกว่าวิธีการเดิมที่ครูป้าหนูเคยเชื่อมาก่อน เพราะความรู้ใหม่ถูกพัฒนาอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าป้าหนูเองจะบริหารการเรียนการสอนแบบ HighScope แต่ก็ชอบแนวคิดแบบอื่น ๆ และนำมาปรับใช้ด้วยเช่นกัน เหมือนการนำ Loose parts play มาใช้ตั้งแต่ช่วงโควิดเป็นต้นมา เพราะเชื่อมั่นว่าวิธีการเหล่านี้ล้วนมีแก่นหรือรากเหง้าเดียวกัน หรือที่เรียกกันว่า “พิพัฒนนิยม”
อีกเรื่องที่น่าสนใจและอดถามกับครูป้าหนูไม่ได้คือ “เล่านิทาน” กับ “อ่านนิทาน” ต่างกันอย่างไร? ครูป้าหนูอธิบายไว้ว่า การอ่านนิทาน คือการสอนให้เด็กรู้จักรูปแบบของหนังสือที่กระกอบไปด้วยหน้าปก ชื่อผู้แต่ง ชื่อผู้วาดภาพ ต้องอ่านตามตัวหนังสือให้เด็กฟังโดยไม่แต่งเติมคำหรืออารมณ์ร่วมอะไรเข้าไป เพราะต้องการให้เด็กรู้จักการใช้ภาษาจากตัวหนังสือ แต่การเล่านิทานคือการเล่าแบบมีอรรถรส ชวนติดตาม เพื่อให้เด็กสนใจ รู้สึกสนุก และตื่นเต้นกับเรื่องเล่า
ครูป้าหนูยังเสริมอีกว่า
อะไรคือ “ของขวัญ” จากเด็กเล็ก ๆ ที่ครูป้าหนูได้รับมาเสมอตลอดการทำงานที่ผ่านมา คำตอบของป้าหนูไม่ใช่ “รอยยิ้ม” ไม่ใช่ “เสียงหัวเราะ” จากเด็ก ๆ แต่เป็นเรื่องเล่าของพ่อแม่ ผู้ปกครองที่กลับมาเล่าถึงลูกศิษย์ของป้าหนู
ถึงแม้ว่าครูป้าหนูจะไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มจากประโยคนี้ แต่เชื่อเลยว่าครูป้าหนูคงจะภูมิใจมากที่ยึดมั่นกับความเชื่อในการเตรียมพร้อมเด็ก ๆ ในชั้นอนุบาลที่ตัวเองบริหารมากว่า 33 ปี ถ้าไม่เชื่อแบบนั้นแล้วเลือกทำไปตามกระแสนิยมที่เน้นแข่งขันกัน ป้าหนูก็คงจะไม่มีความสุขเท่าทุกวันนี้
เมื่อเอ่ยถามว่า ถ้าให้เลือก “สิ่งเดียว” ที่อยากให้คนในสังคมเข้าใจเกี่ยวกับเด็กปฐมวัยมากที่สุดคืออะไร? ครูป้าหนูพูดขึ้นมาทันทีเลยว่า
เป็นคำพูดที่สื่อถึงความจริงใจที่อยากให้ทุกคนที่กำลังมีบุตรหลานช่วงวัยอนุบาลได้อ่านและทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าการปล่อยให้เด็กได้เล่นอย่างสมวัย สามารถพัฒนาประชากรรุ่นใหม่ให้คิดเป็น ทำเป็น คิดอย่างสร้างสรรค์ ปรับตัวได้ดี และมีทักษะการใช้ชีวิตที่ดีในระยะยาว
การได้ฟังเรื่องราวของ “ครูป้าหนู” ไม่ใช่แค่การได้เรียนรู้แนวทางการสอนเด็กอนุบาลแบบใหม่ ไม่ใช่แค่การเข้าใจว่าการ “เล่น” มีคุณค่าแค่ไหนสำหรับพัฒนาการของเด็กในวัย 3–6 ปี แต่มากไปกว่านั้น คือการได้ยินเสียงของ “ครูผู้ยืนหยัด” คนหนึ่งที่เลือกจะไม่ไขว้เขวตามกระแสนิยม เลือกจะไม่เร่งเด็กให้เก่งเร็ว แต่เชื่อในจังหวะชีวิตของแต่ละคน เชื่อว่าความเป็นมนุษย์ต้องได้เริ่มต้นจากความเข้าใจธรรมชาติของตัวเองก่อน
หลายคนอาจยังคิดว่า “เรื่องเด็กอนุบาล” เป็นเรื่องเล็ก แต่ที่ the SPACE เราเชื่อว่า รากของสังคม เริ่มต้นที่ตรงนั้น — หากเราหล่อเลี้ยงต้นกล้าอย่างเข้าใจ ไม่เร่งผลิดอก ไม่เร่งให้โตเร็ว เราจะได้มนุษย์ที่เติบโตอย่างสมบูรณ์ เป็นมนุษย์ที่คิดเป็น รู้คุณค่าในตนเอง และพร้อมรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงได้
เสียงของ “ครูป้าหนู” ในวันนี้จึงไม่ใช่แค่เสียงของครูคนหนึ่ง แต่เป็นเสียงสะท้อนถึงความหวังว่า “ระบบการศึกษาไทยยังเปลี่ยนได้”
เริ่มจากห้องเรียนเล็ก ๆ
เริ่มจากคำว่า “ให้เด็กเล่นเถอะ”
เริ่มจากพ่อแม่ ครู และคนในสังคมทุกคน
ที่เลือกจะฟังเสียงของเด็กให้มากกว่าคะแนน
นักออกแบบที่ชอบคิด ชอบเล่น ชอบเที่ยว ชอบเรียนรู้ และชอบหาทำอะไร ๆ ที่สนุกอยู่ตลอดเวลา เพราะเชื่อว่าการเริ่มต้นด้วยความสนุกจะช่วยปลุกการเรียนรู้สิ่งรอบตัวได้เสมอ