People to connect with

เชื่อมโยงบุคคลสู่การสร้างแรงบันดาลใจ


ดร.วรนาท รักสกุลไทย


“ครูป้าหนู” ผู้ไม่เคยหยุดเชื่อในพลังของเด็ก กับภารกิจฟื้นทักษะชีวิตให้เด็กเล่นเป็น เรียนเป็น และเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์


      เด็กหนึ่งคนจะโตเป็นผู้ใหญ่แบบไหน ขึ้นอยู่กับการหล่อหลอมจากกลไกลของครอบครัว สังคม และการศึกษา แน่นอนว่าทุกคนอยากให้ลูกหลานของตนเติบโตขึ้นตามนิยาม “คนดี” “คนเก่ง” ตามที่สังคมคาดหวัง จนบางครั้งก็ทำร้ายเด็กโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยเฉพาะเด็กอนุบาลวัย 3-6 ปีที่ต้องเข้าเรียนหนังสือ พ่อแม่บางคนคิดเพียงว่าต้องเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุด สอนให้อ่านหนังสือได้เร็ว ๆ เขียนได้เร็ว ๆ พอขึ้น ป.1 จะได้เก่งทันเพื่อน โดยไม่ได้สนใจเลยว่าธรรมชาติของเด็กในวัยนี้พร้อมแล้วหรือยังสำหรับการอ่านเขียน ทุกครั้งที่คุณภูมิใจว่าลูกอ่านได้เขียนได้ คุณเคยรู้ไหมว่าพวกเขาทำได้เพราะเข้าใจมันจริง ๆ หรือทำได้เพราะ “จำ” มาทำ

      นี่เป็นส่วนหนึ่งจากการได้นั่งฟังบรรยายกับหนึ่งในครูปฐมวัยที่เป็นที่ต้องการในวงการการศึกษาปฐมวัยของประเทศไทย ใคร ๆ ก็อยากเรียนรู้จากครูท่านนี้ และวันนี้ People to connect with ของเราอยากชวนผู้อ่านทุกท่านมารู้จักกับ “ครูป้าหนู” หรือ ดร.วรนาท รักสกุลไทย ผู้บริหารแผนกอนุบาล โรงเรียนเกษมพิทยา 



รากของความเชื่อ: เส้นทางที่หล่อหลอม “ครูป้าหนู” สู่ครูปฐมวัย

“ตอนเด็ก ๆ ชอบเล่นบทบาทสมมติกับคนที่อายุน้อยกว่า เพราะเป็นวิธีเดียวที่เราจะมีพาวเวอร์เหนือเขา ซึ่งก็คือลูกผู้น้องและลูกคนงานที่บ้าน”

      ครูป้าหนูเล่าถึงประสบการณ์ในวัยเด็ก นั่นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ได้คิดฝันว่าจะพาตัวเองมาถึงปัจจุบัน ความคิดที่อยากจะเป็นครูในทุกครั้งที่เล่นกันก็เพราะป้าหนูเป็นน้องสาวคนเล็กของครอบครัว เลยอยากมีบทบาทได้เอาสิ่งที่เรียนมาจากพี่ ๆ มาสอนคนอื่นบ้าง 

“อีกส่วนหนึ่งน่าจะมาจากครูเป็นลูกคนเล็กของบ้าน พี่ ๆ ทุกคนก็ต่างมีอาชีพ มีภาระ มีประสบการณ์ที่ต่างกัน ซึ่งช่วยกระตุ้นให้ป้าหนูอยากมีส่วนร่วมไปกับพี่ ๆ ทุกคน พี่ ๆ จะคอยถ่ายทอดวิธีคิด วิธีลงมือทำ ช่วยหล่อหลอมให้ป้าหนูชอบเรียนรู้อยู่เสมอ”




จุดเริ่มต้นและเส้นทางสู่การเป็นครูอนุบาล

      ครูป้าหนูบอกว่า “เชื่อไหมว่าคนรอบตัวมีอิทธิพลกับชีวิตจริง ๆ เหมือนที่ตำราบอกเลย” เพราะช่วงจะจบมัธยมปลายครูป้าหนูเองยังไม่ได้คิดว่าอยากจะเรียนอะไร แต่เพื่อนสนิทอีก 2 คนบอกว่าจะไปเรียนครุศาสตร์ที่จุฬา ครูป้าหนูกับเพื่อน ๆ เลยได้ข้อสรุปว่าจะพากันไปเป็นครูมัธยมสอนภาษาฝรั่งเศสหรือวิชาสังคม แต่เกิดจุดเปลี่ยนเมื่อขึ้นปี 2 ไปแล้ว ครูป้าหนูและเพื่อนพบว่าตัวเองไม่ได้ลงวิชาฝรั่งเศสไว้ตั้งแต่ปีแรก ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนไปทางอื่น ตอนนั้นสรุปกันได้ว่าไหน ๆ เราก็เลือกเรียนมาทางด้านการทำสื่องั้นเราไปเป็นครูปฐมวัยกันก็ได้ ซึ่งตอนนั้นคณะครุศาสตร์จุฬาได้ปรับเป็นหลักสูตรสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย จากเดิมที่เรียกว่าโปรแกรมการสอนระดับอนุบาล โดยครูป้าหนูเป็นรุ่นที่ 2 ของหลักสูตรนี้ มีนิสิตอยู่ราวสิบกว่าคน และได้มีโอกาสไปฝึกสอนที่โรงเรียนสาธิตของจุฬาฯ ในช่วงที่เรียนอยู่

      พอจบจากเมืองไทยแล้วครูป้าหนูก็มีโอกาสได้ไปเรียนที่เมืองนอกเหมือนกับพี่ ๆ คนอื่น จึงเลือกเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ครูป้าหนูเล่าว่า

“โชคดีที่ตอนเรียนที่ไทยเขาเน้นเรื่องวิชาการมาก เลยไม่ยากเกินไปสำหรับป้าหนู แต่เขาคงเห็นว่าป้าหนูมีประสบการณ์น้อยเลยส่งป้าหนูไปสอนเยอะมาก ทั้งระดับอนุบาลและประถม เพราะตอนนั้นป้าหนูเรียนทั้งสองอย่างเลย ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ถือว่าตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกมาเรียนที่นี่”

      ครูป้าหนูเล่าต่อด้วยว่า การมาเรียนที่อเมริกาทำให้ได้มีโอกาสเข้าร่วม NAEYC (National Association for the Education of Young Children) สมาคมแห่งชาติเพื่อการศึกษาเด็กเล็ก เป็นองค์กรที่มุ่งส่งเสริมคุณภาพการศึกษาปฐมวัย มีบทบาทในการกำหนดมาตรฐานวิชาชีพ แนวปฏิบัติที่เหมาะสมตามพัฒนาการจากงานวิจัย ซึ่งทำให้เห็นว่าที่นั่นเขาให้ความสำคัญกับระบบการศึกษามาก ครูป้าหนูเลยตัดสินใจเรียนต่อจนถึงระดับปริญญาเอก ทำให้ครูป้าหนูกับบทบาทของครูปฐมวัยมีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น





เมื่อครูอยากเปลี่ยนระบบ: กับการก้าวสู่กาเป็นผู้บริหารเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก

      ครูป้าหนูเริ่มต้นกลับมารับราชการครูอย่างเป็นทางการที่โรงเรียนอนุบาลระยอง จังหวัดบ้านเกิดในระยะเวลาหนึ่ง แต่ความยึดมั่นในเรื่องการพัฒนาเด็กที่ต่างไปจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ทำให้ครูป้าหนูตัดสินใจย้ายกลับเข้ามาทำงานส่วนกลางที่โรงเรียนอนุบาลสามเสน จากนั้นก็ได้รับโอกาสให้ออกไปช่วยทำงานระดับนโยบายด้านการศึกษาร่วมกับ ดร.รุ่ง แก้วแดง อดีตผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการในหลาย ๆ บทบาท และได้รับคำแนะนำจาก ดร.รุ่ง ให้ไปศึกษาเพิ่มด้านบริหารควบคู่ไปด้วย

“พอมาเรียนด้านบริหารก็พบว่ามันเป็นเรื่องยากพอสมควรในการปรับตัว แต่โชคดีที่มีประสบการณ์การทำงานกับ ดร.รุ่ง ทำให้ป้าหนูได้เห็นเทคนิคของผู้บริหารหลาย ๆ ท่าน และที่สำคัญการเรียนครั้งนี้ทำให้ป้าหนูได้กัลยาณมิตรที่ดีเพื่อสร้างโอกาสให้ตัวเองในอนาคต ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของป้าหนูอีกครั้งในชีวิต”

      ภายหลัง ดร.รุ่งได้ย้ายไปทำงานต่างกรม การติดสอยห้อยตามไปทำงานด้วยกันจึงเป็นเรื่องที่ทำให้ครูป้าหนูเริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่ทางของตัวเองแล้ว ในเวลาเดียวกันนั้นเองผู้บริหารของโรงเรียนเกษมพิทยาได้มาทาบทามให้ครูหนูมาช่วยบริหารแผนกอนุบาลให้

“ช่วงนั้นป้าหนูรู้สึกว่าเบื่องานราชการแล้ว เพราะพอไม่ใช่เรื่องการศึกษามันก็เลยไม่ใช่สิ่งที่เราถนัด ในเวลาเดียวกันนั้นทางผู้บริหารของโรงเรียนเกษมพิทยาก็ชวนป้าหนูไปทำงานบริหารแผนกอนุบาลให้ ป้าหนูเลยเสนอเงื่อนไขไป 3 ข้อ ข้อแรกคือป้าขอทำโรงเรียนเตรียมความพร้อม ไม่ทำโรงเรียนแบบ water down curriculum คือดึงเอาความรู้ ป.1 มาสอนในช่วงอนุบาล ข้อสองคือคุณต้องหาครูประถมเก่ง ๆ มารับช่วงต่อ เพราะเรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าเราเตรียมความพร้อมได้ดีแล้วแต่ครูประถมไม่สามารถรับส่งสิ่งที่เตรียมไว้ได้ ก็จะเกิดปัญหากับการเรียนของเด็กตลอดจนการใช้ชีวิตในอนาคต และข้อสามป้าหนูขอเข้ามาทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์เท่านั้น เพราะอยากมีเวลาไปใช้ชีวิตกับครอบครัวมากขึ้น”

      หลังการเจรจาตกลงกันเรียบร้อย ครูป้าหนูจึงตัดสินใจลาออกจากราชการและเข้ามาทำหน้าที่ผู้บริหารแผนกอนุบาลของโรงเรียนเกษมพิทยาตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบันร่วม 33 ปี

“พอเรามาเป็นผู้บริหารสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนคือวิธีคิดในการมองคน แต่ก่อนเราเป็นครู เรามีหัวหน้าภาคเป็นเหมือนเจ้านายเพียงคนเดียว แต่พอเป็นผู้บริหารแล้วเหมือนเราจะมีเจ้านายเพิ่มหลายคน นั่นคือคุณครู เราต้องรู้จักให้เกียรติลูกน้องเรา คอยเป็นผู้สนับสนุนที่ดีให้พวกเขา เหมือนที่ตำราบอกไว้ว่า มนุษย์ทุกคนพัฒนาให้ดีได้ ทุกคนที่ทำงานกับเราต้องเก่งแบบเราได้ ออกจากเราไปแล้วก็ไปอย่างสง่างาม ป้าหนูไม่ใช่ว่าจะเอาใจใครมากเกินไป ค่อย ๆ เรียนรู้ค่อย ๆ พัฒนา เหมือนครูนก อาจารย์ศศกมล บูรัชฏะ นี่เก่งมากนะ ใครได้ไปคือสบายเลย”

      เมื่อถามว่าจากการเป็นครูคนหนึ่ง สู่การเป็นผู้บริหารในแผนกอนุบาล อะไรที่ไม่เปลี่ยนไปเลยในตัวครูป้าหนู ครูป้าหนูตอบว่า 

“เหมือนที่ตำราบอกไว้ ป้าหนูเชื่อมั่นว่าการเล่นคือการเรียนรู้ตามพัฒนาการ และเป็นการเตรียมพร้อมชีวิตในช่วงวัยเด็กได้ดีที่สุดในทุกด้าน ครูและพ่อแม่ต้องไม่ไขว้เขวไปตามสังคมรอบข้าง ถ้าเชื่อมั่นในเรื่องนี้ได้ เด็ก ๆ ก็จะได้รับการพัฒนาได้อย่างแน่นอน”




“การเล่น” เปลี่ยนแปลงเด็กได้จริง

     เมื่อขอให้ครูป้าหนูเล่า 1 ภาพในห้องเรียนที่ทำให้รู้ว่า “การเล่น” เปลี่ยนแปลงเด็กได้จริง ครูป้าหนูนึกได้อย่างไม่ลังเลเลยจากประสบการณ์ที่โรงเรียนอนุบาลทุกแห่งเคยชินอยู่แล้ว 

      “อย่างแรกเลยคือการต่อบล็อกไม้ พ่อแม่ต้องเข้าใจก่อนว่าการเล่นบล็อกไม้มีประโยชน์กับเด็กมาก ๆ สามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้และพัฒนาการได้จากการเล่นถึง 7 ระดับ ตามลำดับพัฒนาและช่วงวัย” เช่น

      และปิดท้ายการเล่าเรื่องนี้ไว้ว่า “กระบวนการเหล่านี้สามารถวัด IQ (Intelligence Quotient) ได้ด้วย เชื่อไหมว่ามนุษย์เราจะมีพัฒนาการเปลี่ยนไปทุก ๆ 10 ปี เช่น ตัวอย่างที่สังเกตได้เลยคือเด็กผู้หญิงทุกวันนี้มีประจำเดือนไวขึ้น ฯลฯ แต่สำหรับเด็กไทยไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ IQ ไม่เปลี่ยนเลย”



การปรับตัวอยู่เสมอช่วยออกแบบการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์เด็กได้จริง

“เชื่อไหมว่าเมื่อเช้านี้ป้าหนูยังเข้า Webinar คอร์สอบรมต่างๆ ก่อนมาจัดกิจกรรมวันนี้อยู่เลย”

      ครูป้าหนูเล่าถึงตัวเองที่แสวงหาการเรียนรู้อยู่เสมอ พร้อมเปิดไอแพดโชว์ประกาศนียบัตรล่าสุดที่เพิ่งได้จากการเข้าอบรมเก็บชั่วโมงเรียนออนไลน์ ครูป้าหนูเล่าว่าจริง ๆ เวลาที่ว่างจากการทำงานส่วนหนึ่งก็หาเวลาเติมความรู้ให้ตัวเองอยู่ตลอด บางเรื่องมีงานวิจัยใหม่ ๆ ออกมาแล้วพบว่าดีกว่าวิธีการเดิมที่ครูป้าหนูเคยเชื่อมาก่อน เพราะความรู้ใหม่ถูกพัฒนาอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าป้าหนูเองจะบริหารการเรียนการสอนแบบ HighScope แต่ก็ชอบแนวคิดแบบอื่น ๆ และนำมาปรับใช้ด้วยเช่นกัน เหมือนการนำ Loose parts play มาใช้ตั้งแต่ช่วงโควิดเป็นต้นมา เพราะเชื่อมั่นว่าวิธีการเหล่านี้ล้วนมีแก่นหรือรากเหง้าเดียวกัน หรือที่เรียกกันว่า “พิพัฒนนิยม”

      อีกเรื่องที่น่าสนใจและอดถามกับครูป้าหนูไม่ได้คือ “เล่านิทาน” กับ “อ่านนิทาน” ต่างกันอย่างไร? ครูป้าหนูอธิบายไว้ว่า การอ่านนิทาน คือการสอนให้เด็กรู้จักรูปแบบของหนังสือที่กระกอบไปด้วยหน้าปก ชื่อผู้แต่ง ชื่อผู้วาดภาพ ต้องอ่านตามตัวหนังสือให้เด็กฟังโดยไม่แต่งเติมคำหรืออารมณ์ร่วมอะไรเข้าไป เพราะต้องการให้เด็กรู้จักการใช้ภาษาจากตัวหนังสือ แต่การเล่านิทานคือการเล่าแบบมีอรรถรส ชวนติดตาม เพื่อให้เด็กสนใจ รู้สึกสนุก และตื่นเต้นกับเรื่องเล่า

      “ป้าหนูจะใช้วิธีนี้คือเราอ่านนิทานแล้วจำคอนเซ็ปต์ของเรื่องมาเล่าย่อ ๆ ให้เด็กฟังก่อน พอครั้งต่อไปเราก็หาอุปกรณ์มาใช้เล่า เช่น ตุ๊กตา เพื่อทบทวนเรื่องราวจากครั้งก่อนและชวนให้เด็กเห็นภาพได้มากขึ้น อันนี้เด็ก ๆ ก็จะได้ EF ในเรื่องของ Working Memory พอครั้งต่อไปป้าหนูก็จะเอาเล่มนิทานมาโชว์ให้ดูว่า เห็นไหมเรื่องที่เล่าเขามีหนังสือแบบนี้ด้วยนะและจะใช้วิธีอ่านนิทานให้เด็กฟัง หลังจากนั้นก็เอาหนังสือเล่มนี้ไปวางที่มุมนิทาน เพื่อให้เด็กไปฝึกความจำและภาษาด้วยตนเอง” นับว่าเป็นกระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้ที่แยบยลมากแค่เริ่มต้นจากนิทานเพียงเรื่องเดียว
นับว่าเป็นกระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้ที่แยบยลมากแค่เริ่มต้นจากนิทานเพียงเรื่องเดียว 





เมื่อโรงเรียนแข่งกัน “เร่งเด็ก” ครูปฐมวัยจะยืนหยัดอย่างไร

“ทุกวันนี้อัตราการเกิดน้อยลง ทำให้โรงเรียนแข่งขันกันแย่งเด็กเข้าโรงเรียนเพื่อรักษาทรัพยากรครูในมือเก่ง ๆ ให้อยู่กับโรงเรียนได้นานขึ้น ผู้บริหารเองก็มักแก้ปัญหาด้วยการทำตามใจผู้ปกครอง เร่งเขียนอ่านเพื่อให้เด็กเข้าสู่ระบบประถมได้ง่ายขึ้น แต่ป้าหนูบอกเลยว่าวิธีนี้ไม่ยั่งยืน เพราะเกือบทั้งหมดจะทำได้ดีในช่วงเวลาหนึ่ง แต่พอถึงจุดหนึ่งจะแผ่วปลาย สมองล้าจากการจำมาเยอะ เด็กจะเริ่มเบื่อการเรียน ไม่อยากเรียน เลยเป็นปัญหาที่ทำให้เด็กไทย IQ ยังอยู่เท่าเดิมเมื่อเทียบเท่ากับสิงคโปร์หรืออเมริกา พอพ่อแม่อยากให้ลูกเก่งเร็ว ๆ จึงเอื้อให้เกิดระบบติว และรู้หรือไม่ว่าการติวนี่แหละทำร้ายระบบการศึกษา”

      ครูป้าหนูยังเสริมอีกว่า

“อีกหนึ่งความท้าทายของครูคือการยึดมั่นอยู่กับหลักการตามตำรา โดยเฉพาะความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเล่น ต้องไม่ไขว้เขวเด็ดขาด เพราะถ้าไม่เชื่อว่าเด็กจะพัฒนาได้จากการเล่น แล้วไปเร่งเอาความรู้และทักษะของประถมลงมาใช้กับอนุบาล ถือเป็นการทำบาปต่อนักเรียนมาก ๆ”


เสียงจากหัวใจ: ความผูกพันกับเด็กปฐมวัย

      อะไรคือ “ของขวัญ” จากเด็กเล็ก ๆ ที่ครูป้าหนูได้รับมาเสมอตลอดการทำงานที่ผ่านมา คำตอบของป้าหนูไม่ใช่ “รอยยิ้ม” ไม่ใช่ “เสียงหัวเราะ” จากเด็ก ๆ แต่เป็นเรื่องเล่าของพ่อแม่ ผู้ปกครองที่กลับมาเล่าถึงลูกศิษย์ของป้าหนู

“พ่อแม่ของเด็กที่จบไปกลับมาเล่าให้ฟังเสมอ ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะมีพื้นฐานครอบครัวแบบไหนมาก็แล้วแต่ ป้าหนูมักจะได้ยินว่าพวกเขาสามารถต่อยอดการเรียน การงานได้ดี ปรับตัวได้ดี มีความสุขกับชีวิต แม้ไม่ใช่เรื่องที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิตก็ตาม” 

      ถึงแม้ว่าครูป้าหนูจะไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มจากประโยคนี้ แต่เชื่อเลยว่าครูป้าหนูคงจะภูมิใจมากที่ยึดมั่นกับความเชื่อในการเตรียมพร้อมเด็ก ๆ ในชั้นอนุบาลที่ตัวเองบริหารมากว่า 33 ปี ถ้าไม่เชื่อแบบนั้นแล้วเลือกทำไปตามกระแสนิยมที่เน้นแข่งขันกัน ป้าหนูก็คงจะไม่มีความสุขเท่าทุกวันนี้



เสียงที่อยากฝากถึงสังคม

      เมื่อเอ่ยถามว่า ถ้าให้เลือก “สิ่งเดียว” ที่อยากให้คนในสังคมเข้าใจเกี่ยวกับเด็กปฐมวัยมากที่สุดคืออะไร? ครูป้าหนูพูดขึ้นมาทันทีเลยว่า 

“ให้เด็กเล่นเถอะ...เชื่อเถอะว่าการเล่นจะช่วยเตรียมความพร้อมเด็กได้ดีในระยะยาว เด็กจะมีสมาธิในการเรียนได้ดีขึ้น แน่นอนว่าการขีดเขียนก็ช่วยเสริมพัฒนาการได้ แต่การเล่นช่วยพัฒนาเด็กใด้ดีกว่ามาก” 

      เป็นคำพูดที่สื่อถึงความจริงใจที่อยากให้ทุกคนที่กำลังมีบุตรหลานช่วงวัยอนุบาลได้อ่านและทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าการปล่อยให้เด็กได้เล่นอย่างสมวัย สามารถพัฒนาประชากรรุ่นใหม่ให้คิดเป็น ทำเป็น คิดอย่างสร้างสรรค์ ปรับตัวได้ดี และมีทักษะการใช้ชีวิตที่ดีในระยะยาว






      การได้ฟังเรื่องราวของ “ครูป้าหนู” ไม่ใช่แค่การได้เรียนรู้แนวทางการสอนเด็กอนุบาลแบบใหม่ ไม่ใช่แค่การเข้าใจว่าการ “เล่น” มีคุณค่าแค่ไหนสำหรับพัฒนาการของเด็กในวัย 3–6 ปี แต่มากไปกว่านั้น คือการได้ยินเสียงของ “ครูผู้ยืนหยัด” คนหนึ่งที่เลือกจะไม่ไขว้เขวตามกระแสนิยม เลือกจะไม่เร่งเด็กให้เก่งเร็ว แต่เชื่อในจังหวะชีวิตของแต่ละคน เชื่อว่าความเป็นมนุษย์ต้องได้เริ่มต้นจากความเข้าใจธรรมชาติของตัวเองก่อน

      หลายคนอาจยังคิดว่า “เรื่องเด็กอนุบาล” เป็นเรื่องเล็ก แต่ที่ the SPACE เราเชื่อว่า รากของสังคม เริ่มต้นที่ตรงนั้น — หากเราหล่อเลี้ยงต้นกล้าอย่างเข้าใจ ไม่เร่งผลิดอก ไม่เร่งให้โตเร็ว เราจะได้มนุษย์ที่เติบโตอย่างสมบูรณ์ เป็นมนุษย์ที่คิดเป็น รู้คุณค่าในตนเอง และพร้อมรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงได้

      เสียงของ “ครูป้าหนู” ในวันนี้จึงไม่ใช่แค่เสียงของครูคนหนึ่ง แต่เป็นเสียงสะท้อนถึงความหวังว่า “ระบบการศึกษาไทยยังเปลี่ยนได้”

เริ่มจากห้องเรียนเล็ก ๆ
เริ่มจากคำว่า “ให้เด็กเล่นเถอะ”
เริ่มจากพ่อแม่ ครู และคนในสังคมทุกคน
ที่เลือกจะฟังเสียงของเด็กให้มากกว่าคะแนน

เพราะในโลกของการเรียนรู้
ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการเติบโตอย่างมีความสุข







นที ขำอินทร์

นักออกแบบที่ชอบคิด ชอบเล่น ชอบเที่ยว ชอบเรียนรู้ และชอบหาทำอะไร ๆ ที่สนุกอยู่ตลอดเวลา เพราะเชื่อว่าการเริ่มต้นด้วยความสนุกจะช่วยปลุกการเรียนรู้สิ่งรอบตัวได้เสมอ