เชื่อมโยงบุคคลสู่การสร้างแรงบันดาลใจ
นายพงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ
สุขภาพของคนวัยทำงาน ไม่ใช่เพียงเรื่องของปัจเจก แต่คือฐานรากสำคัญของสังคมและเศรษฐกิจไทย คุณพงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เล่าให้เราฟังถึงวิสัยทัศน์ บทบาท และแนวทางในการขับเคลื่อนองค์กรสุขภาวะ หรือ Happy Workplace โดยยืนยันว่า “ที่ทำงาน คือจุดเริ่มต้นแห่งการเรียนรู้ดูแลสุขภาพ และองค์กร คือกลไกสำคัญของการเปลี่ยนแปลง”
ในโครงสร้างประชากรของประเทศไทย กลุ่มวัยทำงานถือเป็นกำลังหลักของประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ครอบครัว และการขับเคลื่อนสังคมโดยรวม ปัจจุบันมีประชากรวัยทำงานมากถึงกว่า 40 ล้านคน จากประชากรทั้งประเทศราว 65 ล้านคน กลุ่มนี้ต้องรับภาระทั้งการสร้างรายได้ การเลี้ยงดูสมาชิกครอบครัว และการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเผชิญกับความเสี่ยงจากความเครียด ความเหนื่อยล้าทางกายใจ และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมากมาย
การดูแลกลุ่มวัยทำงานจึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ สสส. โดยสำนัก 8 ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมองว่า “ที่ทำงาน” คือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ด้านสุขภาพที่มีพลังมากที่สุด เพราะเป็นพื้นที่ที่คนใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งในสามของชีวิตประจำวัน ที่ทำงานจึงสามารถเป็นทั้งต้นทางของปัญหาและต้นทางของการเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาเดียวกัน
องค์กรในฐานะพลังขับเคลื่อนสุขภาวะ: จากนโยบายสู่การลงมือทำ
สสส. จึงพัฒนาแนวคิด “องค์กรสุขภาวะ” หรือ Happy Workplace โดยมุ่งให้เกิดการวางระบบด้านสุขภาพในองค์กร เช่น การจัดสวัสดิการด้านสุขภาพ การส่งเสริมกิจกรรมออกกำลังกายและสุขภาวะจิต การจัดอบรมให้ความรู้ การออกแบบสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ หรือแม้กระทั่งการใช้เทคโนโลยีมาติดตามและสนับสนุนพฤติกรรมสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
สุขภาพของมนุษย์ไม่อาจพิจารณาได้จากพฤติกรรมปัจเจกเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นผลสะท้อนของโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมกันมาอย่างต่อเนื่อง แนวคิด “Social Determinants of Health” (ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ) ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) อธิบายว่า ปัจจัยทางสังคมเหล่านี้ครอบคลุมถึง สภาพความเป็นอยู่ การศึกษา รายได้ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ การจ้างงาน ความมั่นคงทางอาหาร ความปลอดภัย และการเข้าถึงบริการสุขภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้กำหนดโอกาสในการมีสุขภาพดีของประชากรแต่ละคน
สสส. โดยสำนัก 8 ได้นำแนวคิดนี้มาเป็นกรอบหลักในการพัฒนา “องค์กรสุขภาวะ” โดยตระหนักว่าการส่งเสริมสุขภาพในองค์กรไม่ควรจำกัดเฉพาะการรณรงค์ให้พนักงานออกกำลังกายหรือกินผัก แต่ต้องมองเห็นความซับซ้อนของปัจจัยรอบตัว เช่น การเดินทางที่ไม่ปลอดภัย การไม่มีพื้นที่สีเขียวในที่ทำงาน มลพิษในชุมชน แรงกดดันจากหัวหน้างาน หรือวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมพฤติกรรมเสี่ยง
นอกจากมิติทางโครงสร้าง สสส. ยังมียุทธศาสตร์ด้านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ชัดเจนผ่านกรอบประเด็นที่เรียกว่า เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ 7+1" ภายใต้ทิศการทำงานสร้างเสริมสุขภาพระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2565-2574) แบ่งออกเป็นเป้าหมายเชิงประเด็น 7 เป้าหมาย และ 1 เป้าหมายเพื่อรองรับปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต มุ่งเน้นการพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมสุขภาวะ ประชาชนอยู่ดีและมีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างเสริมสุขภาพ ประกอบด้วย ลดอัตราการบริโภคยาสูบ, ลดอัตราการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสิ่งเสพติด, เพิ่มสัดส่วนการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพอย่างสมดุล, เพิ่มกิจกรรมทางกาย, ลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน, เพิ่มสัดส่วนผู้มีสุขภาพจิตสมบูรณ์, ลดผลกระทบต่อสุขภาพจากมลพิษทางสิ่งแวดล้อม และสุดท้ายคือป้องกัน เฝ้าระวัง ปัญหาสุขภาพอุบัติใหม่และปัจจัยเสี่ยงอื่น
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ 7+1 ของ สสส. ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่รณรงค์หรือสร้างความตระหนัก แต่เป็นกรอบปฏิบัติที่ออกแบบมาเพื่อ “ลดปัจจัยเสี่ยง” ซึ่งเชื่อมโยงกับการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยตรง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน มะเร็งบางชนิด และโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ตลอดจนภาวะสุขภาพจิตที่รุนแรง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในประเทศไทยและทั่วโลก
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) โรค NCDs คิดเป็นสัดส่วนกว่า 74% ของการเสียชีวิตทั้งหมดทั่วโลก ในขณะที่ประเทศไทย สสส. รายงานว่ากว่า 70% ของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเกิดจากโรคกลุ่มนี้ ซึ่งสามารถป้องกันได้หากมีการจัดการปัจจัยเสี่ยงอย่างจริงจังในระดับองค์กรและชุมชน
การที่องค์กรเข้าใจและปรับนโยบายให้สามารถควบคุมปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ได้ จึงไม่เพียงช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยของพนักงาน แต่ยังสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตในระยะยาว และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งในระดับองค์กรและระบบสุขภาพของประเทศ
ข้อมูลสุขภาพในระดับองค์กรและระดับพื้นที่ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการออกแบบโครงการและการตัดสินใจของ สสส. โดยสำนัก 8 ให้ความสำคัญกับการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ เช่น พฤติกรรมสุขภาพของแรงงาน การเจ็บป่วย การใช้บริการรักษา ตลอดจนภาวะสุขภาพจิต ซึ่งช่วยให้สามารถเลือกพื้นที่นำร่องได้ตรงจุด จังหวัดชลบุรีจึงถูกเลือกเป็นพื้นที่แรกในการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ เนื่องจากมีคลัสเตอร์แรงงานขนาดใหญ่ มีอุตสาหกรรมหลากหลาย และตั้งอยู่ในโซนเศรษฐกิจพิเศษ EEC ที่มีนัยสำคัญระดับประเทศ การทำงานในพื้นที่นำร่องนี้จะเป็นโมเดลในการขยายผลสู่จังหวัดอื่น ๆ ในอนาคต
สำนัก 8 มององค์กรในความหมายที่หลากหลาย และครอบคลุมมากกว่าการนิยามในเชิงธุรกิจหรือภาครัฐเพียงอย่างเดียว โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) กลุ่ม Worl place ทั่วไป เช่น บริษัทเอกชน หน่วยงานราชการ องค์กรภาคประชาสังคม และแรงงานนอกระบบ 2) กลุ่มมหาวิทยาลัย ซึ่งมีทั้งบุคลากรและนิสิตนักศึกษา และ 3) องค์กรทางศาสนา ซึ่งเน้นการทำงานกับพระสงฆ์ในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณและผู้ดูแลชุมชน ในแต่ละกลุ่มมีบริบทและรูปแบบการทำงานที่แตกต่างกัน เช่น องค์กรขนาดเล็กอย่าง SMEs หรือองค์กรประชาสังคมมักมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและโครงสร้างภายใน ขณะที่กลุ่มพระสงฆ์ก็มีข้อจำกัดด้านธรรมวินัย แต่ทุกกลุ่มสามารถเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ที่เหมาะสมกับบริบทของตนได้ และใช้แนวคิด Happy Workplace เป็นกรอบในการพัฒนา
การเริ่มต้นสร้างองค์กรสุขภาวะไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมาก หรือเริ่มจากนโยบายใหญ่โตเสมอไป สิ่งสำคัญคือ “ความตั้งใจ” ของผู้นำองค์กรที่จะเห็นความสำคัญของเรื่องสุขภาพ ไม่รอให้เกิดปัญหา แล้วจึงแก้ไข สสส. จึงส่งเสริมให้เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ที่สามารถทำได้ทันที เช่น การรณรงค์ให้พนักงานเดินนับก้าว การลดพุง ลดน้ำตาลในอาหาร หรือการเก็บข้อมูลสุขภาพและนำไปใช้ในการออกแบบกิจกรรม
เครื่องมือสนับสนุนต่างๆ ก็มีพร้อมอยู่แล้ว ทั้งในรูปแบบแอปพลิเคชัน ชุดความรู้ คู่มือการดำเนินงาน รวมถึงหลักสูตรอบรมนักสร้างสุของค์กร ซึ่งเปิดให้เข้าร่วมได้ฟรี นอกจากนี้ สสส. ยังสนับสนุนการทำงานแบบเครือข่าย เช่น สมาคมวิชาชีพ เครือข่ายภาคอุตสาหกรรม หรือหน่วยงานที่มีเป้าหมายร่วมกัน
บทบาทของสำนัก 8 ไม่ได้หยุดเพียงแค่การส่งเสริมสุขภาพรายองค์กร แต่ขยายไปสู่การวางระบบสุขภาพของแรงงานในระดับประเทศ โดยใช้พื้นที่นำร่องและข้อมูลสุขภาพเชิงลึกในการออกแบบแนวทางที่จะสามารถขยายผลในวงกว้างได้
โมเดลที่เน้นการใช้ข้อมูลตั้งแต่ต้นทาง เช่น การใช้ผลตรวจสุขภาพของพนักงานมาเป็นจุดตั้งต้นในการเลือกประเด็น การออกแบบกิจกรรม และการติดตามผลลัพธ์ ช่วยให้แต่ละองค์กรมองเห็นว่าตนเองควรเริ่มต้นจากตรงไหน ทำอะไรเป็นลำดับแรก และจะขยายผลอย่างไรต่อไปในบริบทของตน
บทสนทนาระหว่าง the SPACE กับ ผอ. พงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ สะท้อนวิสัยทัศน์สำคัญที่เปลี่ยนกรอบความเข้าใจเดิมๆ เกี่ยวกับ “สุขภาพ” ออกไปอย่างสิ้นเชิง สุขภาพไม่ใช่เรื่องของโรงพยาบาล หรือความรับผิดชอบของแต่ละคนเท่านั้น แต่คือผลลัพธ์ของโครงสร้างสังคมทั้งหมด ตั้งแต่สภาพแวดล้อม วัฒนธรรมองค์กร ระบบนโยบาย ไปจนถึงบทบาทของผู้นำและพื้นที่ที่เราใช้ชีวิตอยู่ในทุกๆ วัน
แนวคิด “องค์กรสุขภาวะ” ที่สสส. โดยสำนัก 8 พยายามผลักดัน ไม่ได้เป็นเพียงชุดกิจกรรมดูแลสุขภาพ แต่คือการสร้างระบบที่ทุกองค์กรสามารถมีบทบาทเป็น “ฐานปฏิบัติ” เพื่อจัดการกับปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นต้นเหตุการเสียชีวิตมากกว่า 70% ของคนไทย องค์กรจึงไม่ใช่เพียงหน่วยบริหารทรัพยากรมนุษย์ แต่เป็นกลไกสำคัญที่สามารถผลิตสังคมสุขภาวะได้จริง
the SPACE เห็นคุณค่าของการขับเคลื่อนสุขภาวะในระดับโครงสร้าง เพราะนี่คือแนวทางที่ “เปลี่ยนระบบ” ได้โดยไม่ทิ้ง “คน” ไปด้วยพร้อมกัน ที่สำคัญคือไม่ใช่แค่เปลี่ยน “สิ่งที่ทำ” แต่ยังเปลี่ยน “วิธีคิดขององค์กรต่อคนทำงาน” ให้เห็นว่า สุขภาพของพนักงานคือทุนที่ยั่งยืนที่สุดขององค์กร และแรงงานสุขภาพดีคือ “พลเมืองของการเปลี่ยนแปลง” ที่ขับเคลื่อนอนาคตของประเทศนี้ต่อไป
“ที่ทำงานไม่ใช่เพียงพื้นที่ทำงาน
แต่คือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ดูแลสุขภาพ
และองค์กรคือกลไกสำคัญของการเปลี่ยนแปลง”นี่คือถ้อยคำที่เราอยากให้ทุกองค์กรได้ทบทวนร่วมกันในวันนี้
special co-creation
เชื่อในพลังของการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ สนใจสำรวจเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คน วิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะรากเหง้าอีสาน ชื่นชอบการเดินทางเพื่อเปิดโลกใหม่ ๆ และชอบคลายเครียดด้วยทำอาหาร