เชื่อมโยงบุคคลสู่การสร้างแรงบันดาลใจ
ผศ.พญ.ฉัฐญาณ์ วงศ์รัฐนันท์
สุขภาพของคนวัยทำงาน ไม่ใช่เพียงเรื่องส่วนตัว แต่คือรากฐานของครอบครัว องค์กร และระบบเศรษฐกิจของทั้งประเทศ ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่คุกคามคนทุกช่วงวัย กลุ่ม “แรงงานในระบบ” กลับเป็นกลุ่มที่มีบทบาทขับเคลื่อนประเทศอย่างเต็มที่ แต่กลับถูกมองข้ามในฐานะ “ผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพ” อย่างจริงจัง
the SPACE ชวนคุณเปิดมุมมองใหม่ผ่านบทสนทนากับ ผศ.พญ.ฉัฐญาณ์ วงศ์รัฐนันท์ หรือ “หมอฝน” นักวิจัยโครงการที่พยายามชำแหละพฤติกรรมสุขภาพของแรงงานในระบบ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง และตั้งคำถามกลับไปยังองค์กร สถานประกอบการ และรัฐว่า…เราดูแลสุขภาพของคนทำงานดีพอแล้วหรือยัง?
บทความนี้ไม่ใช่เพียงรายงานปัญหา แต่คือการฉายภาพ “โครงสร้าง” ที่ต้องเปลี่ยน และ “ระบบข้อมูล” ที่ต้องเชื่อมโยง หากเราจะหวังให้การทำงานไม่ต้องแลกมาด้วยโรคเรื้อรัง หรือการสูญเสียในระยะยาว
ด้วยสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและโครงสร้างประชากรของประเทศไทยในปัจจุบัน กลุ่มวัยทำงานถือเป็นกำลังหลักของสังคมที่มีบทบาทสำคัญทั้งในเชิงเศรษฐกิจและครอบครัว แต่ขณะเดียวกัน กลุ่มประชากรกลุ่มนี้กลับเริ่มสะสมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือแม้แต่ภาวะอ้วน ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในบริบทนี้ ผศ.พญ.ฉัฐญาณ์ วงศ์รัฐนันท์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หมอฝน” จากภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ดำเนินการวิจัยในโครงการ “การศึกษาสถานการณ์ปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและพฤติกรรมสุขภาพที่เกี่ยวข้องของวัยทำงานในประเทศไทย” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาระบบติดตามการดูแลสุขภาพวัยทำงานอย่างบูรณาการ
โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นแรงงานในระบบ ซึ่งสามารถเข้าถึงผ่านสถานประกอบการต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน
จากข้อจำกัดด้านข้อมูลที่ได้กล่าวไปแล้ว โครงการวิจัยนี้จึงมุ่งเน้นไปยังกลุ่มข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้และมีความพร้อมมากที่สุด ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสุขภาพ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และกิจกรรมทางกาย โดยยังไม่สามารถครอบคลุมภาพรวมของปัญหาสุขภาพในวัยทำงานได้ทั้งหมด ข้อมูลจากการวิเคราะห์ในปัจจุบัน พบประเด็นปัญหาหลัก 3 กลุ่มที่เชื่อมโยงกับความเจ็บป่วยในวัยทำงาน ได้แก่:
ข้อมูลชี้ว่าอัตราการสูบบุหรี่ในกลุ่มผู้ชายแรงงานในระบบอยู่ในระดับสูง โดยบางภาคอุตสาหกรรม เช่น ก่อสร้าง มีอัตราการสูบสูงกว่าค่าเฉลี่ย และกลุ่มผู้ที่เลิกบุหรี่สำเร็จส่วนใหญ่ใช้วิธีหักดิบเอง มากกว่าการเข้าถึงบริการให้คำปรึกษาจากโรงพยาบาล ในกลุ่มผู้ดื่มแอลกอฮอล์ พบว่าแรงงานในระบบกว่า 13% มีพฤติกรรมดื่มแล้วขับ และเกือบครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามเคยประสบอุบัติเหตุทางถนนมาก่อน ซึ่งนับว่าเป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อทั้งสุขภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของครอบครัว“วัยทำงานคือกำลังหลักของครอบครัว ถ้าเกิดอุบัติเหตุหรือเสียชีวิต มันจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อครอบครัว” หมอฝนกล่าว"
แรงงานในระบบกว่าครึ่งบริโภคอาหารประเภทหวานจัด มันจัด เค็มจัด หรืออาหารแปรรูปบ่อยครั้ง โดยเฉลี่ยเกิน 5 วันต่อสัปดาห์ ข้อมูลยังพบว่าพฤติกรรมนี้แทบไม่ต่างกันระหว่างภาคอุตสาหกรรมหรือกลุ่มอาชีพ แม้แต่กลุ่มสายสุขภาพหรือการศึกษาก็ยังมีพฤติกรรมนี้อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน“พอเป็นเรื่องอาหารเนี่ย มันไม่ใช่แค่เรื่องความรู้ แต่มันเกี่ยวกับการเข้าถึงอาหารสุขภาพที่ยังยากอยู่” หมอฝน ระบุ
จากนิยามขององค์การอนามัยโลก กิจกรรมทางกายที่เพียงพอหมายถึงอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ (ระดับเหนื่อยปานกลาง) หรือ 75 นาที (ระดับเหนื่อยหนัก) ซึ่งจากการสำรวจพบว่าแรงงานเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่มีกิจกรรมทางกายถึงเกณฑ์ดังกล่าว ที่เหลือกว่า 70% จัดอยู่ในกลุ่ม “เหนื่อยนิ่ง” ซึ่งสะท้อนถึงภาวะขาดความเคลื่อนไหวอย่างเรื้อรังa “หลายคนใช้เวลาที่ทำงานวันละ 8-12 ชั่วโมง แต่กลับไม่มีโอกาสขยับร่างกายเลยในระหว่างนั้น” หมอฝนเน้นย้ำ
ทั้งสามประเด็นนี้สะท้อนภาพพฤติกรรมสุขภาพของวัยทำงานไทยในวันนี้ได้อย่างชัดเจน และกลายเป็นจุดตั้งต้นสำคัญของการพัฒนาแนวทางการส่งเสริมสุขภาพเชิงนโยบายต่อไป
หนึ่งในชุดข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ มาจากผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมสุขภาพที่เชื่อมโยงกับโรคเรื้อรังของแรงงานในระบบได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การบริโภคอาหารที่มีไขมัน น้ำตาล หรือโซเดียมสูง รวมถึงการขาดกิจกรรมทางกาย
จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า อัตราการสูบบุหรี่ในกลุ่มผู้ชายสูงถึงกว่าหนึ่งในสาม และการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำก็มีอัตราสูงเช่นกัน โดยในกลุ่มผู้ที่สามารถเลิกบุหรี่ได้ มีเพียงร้อยละน้อยเท่านั้นที่เข้าถึงบริการให้คำปรึกษาเพื่อการเลิกบุหรี่ ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาวิธี “หักดิบ” ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นวิธีที่มีโอกาสสำเร็จน้อย
ขณะเดียวกัน การบริโภคอาหารไม่เหมาะสมก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่น่าวิตก แรงงานในระบบกว่าครึ่งบริโภคอาหารไม่ดีต่อสุขภาพอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ โดยไม่ได้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างอุตสาหกรรม ทำให้เห็นว่าความรู้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้ หากสิ่งแวดล้อมและการเข้าถึงยังเป็นอุปสรรค
การจัดทำนโยบายสาธารณะด้านสุขภาพ จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่ครบถ้วนและเชื่อมโยงกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของวัยทำงานยังเต็มไปด้วยข้อจำกัด โดยเฉพาะข้อมูลจากภาคเอกชน คลินิก ร้านขายยา รวมถึงการดูแลตนเองเบื้องต้นที่มักไม่ได้บันทึกเข้าสู่ระบบข้อมูลกลางของภาครัฐ
หมอฝนชี้ว่า หนึ่งในสาเหตุสำคัญคือความกังวลเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ไม่กล้าแบ่งปันข้อมูล แม้จะสามารถทำให้เป็นข้อมูลที่ไม่ระบุตัวบุคคล (de-identify) ได้ก็ตาม
นอกจากนี้ ลักษณะการใช้บริการสุขภาพของคนทำงานที่กระจายหลายแห่ง เช่น ใกล้ที่ทำงาน ใกล้บ้าน หรือเลือกโรงพยาบาลเอกชน ก็ยิ่งทำให้ภาพรวมของพฤติกรรมสุขภาพยากต่อการวิเคราะห์ หมอฝนเสนอว่า หากข้อมูลสุขภาพถูกเก็บไว้กับตัวประชาชนเอง เช่น ผ่านระบบสุขภาพดิจิทัลที่เจ้าตัวควบคุมได้ และสามารถแชร์ให้กับหน่วยบริการตามความสมัครใจ จะเป็นแนวทางที่เอื้อต่อการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างแท้จริง
ข้อมูลจากการสำรวจสามารถนำมาพัฒนาเป็นเกณฑ์อ้างอิงในระดับอุตสาหกรรม เพื่อให้องค์กรที่เข้าร่วมโครงการสามารถประเมินสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมสุขภาพของพนักงานตนเองได้อย่างเป็นรูปธรรม หมอฝนเสนอว่า สถานประกอบการควรใช้ข้อมูลนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในสองประเด็นหลัก คือ การเลิกบุหรี่ และกิจกรรมทางกาย
สำหรับกิจกรรมทางกาย แม้องค์กรหลายแห่งจะจัดสวัสดิการให้พนักงานไปออกกำลังกายที่อื่น เช่น ฟิตเนส หรือสนามกีฬา แต่ในทางปฏิบัติ พนักงานกลับใช้เวลาส่วนใหญ่ในสถานประกอบการมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน หมอฝนเสนอว่า การปรับโครงสร้างพื้นฐานเล็กน้อย เช่น การจัดทำทางเดินภายในอาคาร หรือการเชื่อมต่อกับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อใช้สนามกีฬาในพื้นที่ จะเพิ่มโอกาสในการออกกำลังกายได้จริง
ในระดับนโยบาย หมอฝนเห็นว่า ข้อมูลเชิงพฤติกรรมที่เจาะจงลงไปในแต่ละอุตสาหกรรม จะช่วยให้หน่วยงานอย่าง สสส. หรือสำนัก 8 สามารถกำหนดเป้าหมายในการสนับสนุนงบประมาณให้เหมาะสมกับบริบทแต่ละองค์กร ทั้งยังสามารถตั้งตัวชี้วัดที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงได้จริง
หมอฝนยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การมีข้อมูลที่แยกย่อยและแม่นยำ จะช่วยให้การใช้งบประมาณมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความสูญเปล่าจากการดำเนินโครงการแบบหว่านทั้งระบบ
ข้อมูลที่สมบูรณ์ไม่ได้มีไว้เพื่อจัดเก็บเท่านั้น หากแต่เป็นจุดตั้งต้นของการออกแบบนโยบายสุขภาพที่ตอบโจทย์ชีวิตคนทำงานอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเมื่อนำไปใช้ในระดับองค์กรและนโยบายระดับประเทศ ผศ.พญ.ฉัฐญาณ์ วงศ์รัฐนันท์ หรือ "หมอฝน" ชี้ว่า การมีข้อมูลเชิงพฤติกรรมที่จำแนกได้ตามประเภทของอุตสาหกรรม จะช่วยให้หน่วยงานอย่าง สสส. หรือสำนัก 8 สามารถกำหนดเป้าหมายเชิงงบประมาณและออกแบบตัวชี้วัดผลลัพธ์ที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง แนวคิดสำคัญในโครงการนี้คือการขยับจากการดำเนินโครงการแบบครอบคลุมทั่วถึง ไปสู่การออกแบบที่ "ตรงจุด ตรงกลุ่ม" ซึ่งจะเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการลงทุนด้านสุขภาพ "หากรู้ว่ากลุ่มแรงงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างมีอัตราการสูบบุหรี่สูงกว่ากลุ่มอื่น เป้าหมายในการลดอัตราการสูบก็ต้องตั้งให้ชัด และวัดผลได้" หมอฝนให้ภาพอย่างชัดเจน
ขณะเดียวกัน โครงการฯ ก็กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงวิเคราะห์ข้อมูลสำคัญอีกสองชุด ได้แก่ ข้อมูลจากสำนักสารสนเทศบริการสุขภาพ และระบบ Health Data Center (HDC) ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งสามารถสะท้อนภาพของการเจ็บป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในกลุ่มวัยทำงานที่มาใช้บริการในระบบประกันสังคมและระบบข้าราชการ แม้จะยังไม่สามารถแยกแรงงานในระบบอย่างชัดเจน แต่ก็ถือเป็นฐานข้อมูลที่มีศักยภาพสูงในการนำมาวิเคราะห์ในระดับภาพรวม
การประมวลข้อมูลเชิงพฤติกรรมควบคู่กับข้อมูลการใช้บริการรักษาพยาบาล จะทำให้ได้ภาพสุขภาวะที่ครอบคลุมทั้งด้านต้นทางและปลายทางของระบบสุขภาพ เมื่อผสานเข้ากับเป้าหมายของโครงการที่มุ่งเน้นการสนับสนุนให้องค์กรออกแบบสิ่งแวดล้อมและบริการที่เอื้อต่อสุขภาวะของคนทำงาน จึงอาจกล่าวได้ว่า "ข้อมูลที่ดี" คือกุญแจสำคัญของการออกแบบระบบสุขภาพที่ไม่หยุดอยู่แค่การรักษา แต่ลงมือแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทางของพฤติกรรมและโครงสร้าง
บทสนทนานี้สะท้อนความพยายามที่ “ลึก” และ “จริง” ของคนทำงานวิชาการที่เชื่อมั่นในพลังของข้อมูล ไม่ใช่เพียงเพื่อนำเสนอผลการศึกษาเชิงวิชาการ แต่เพื่อเปิด “ประตูความเข้าใจ” สู่ปัญหาสุขภาพของกลุ่มวัยทำงาน และเชื่อมโยงไปสู่การออกแบบระบบสนับสนุนสุขภาวะที่ดีขึ้นในระดับองค์กรและนโยบาย
ข้อมูลสุขภาพของกลุ่มวัยทำงาน ไม่ใช่เพียงการวัดตัวเลขน้ำหนัก ส่วนสูง หรือสัดส่วนผู้สูบบุหรี่ หากแต่คือ “ภาพสะท้อน” ของระบบสังคม เศรษฐกิจ การเข้าถึงอาหาร พฤติกรรมการใช้ชีวิต และโครงสร้างของสถานประกอบการที่เราสร้างกันขึ้นมา
จากมุมมองของเรา the SPACE เชื่อว่า โครงการวิจัยนี้ชี้ให้เห็น “ช่องว่าง” ที่ยังไม่มีใครอุด เช่น การขาดการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของแรงงานนอกระบบ, การไม่กล้าเปิดเผยข้อมูลเพราะความกลัวผิด พ.ร.บ., หรือแม้แต่การที่องค์กรยังไม่ตระหนักว่าตัวเองมีศักยภาพเป็น “ระบบสุขภาพขนาดย่อม” ได้
นี่ไม่ใช่เพียงการสำรวจพฤติกรรม แต่คือการทำแผนที่สุขภาวะของแรงงานไทย — เพื่อชี้ทางให้สังคมเดินต่อ และหากจะมีอะไรที่โครงการนี้ฝากไว้ให้เราในฐานะคนอ่าน ก็คงเป็นคำเชิญชวนให้เรา “กล้าสนใจสุขภาพ” ของคนวัยทำงาน ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะป่วย
ไม่ว่าจะในฐานะนักวิชาการ นักออกแบบนโยบาย เจ้าของกิจการ หรือคนธรรมดาที่ทำงานวันละ 8 ชั่วโมงขึ้นไป ถ้าเราทำให้องค์กรเป็นพื้นที่ที่ดูแลสุขภาพคนได้จริง นั่นอาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดของระบบสุขภาพทั้งประเทศ
เพราะสุขภาพดีของแรงงาน ไม่ได้สะท้อนแค่ในตัวเลข NCDs ที่ลดลง
แต่คือความมั่นคงของครอบครัว ระบบเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของคนทำงานนับล้าน
special co-creation
เชื่อในพลังของการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ สนใจสำรวจเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คน วิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะรากเหง้าอีสาน ชื่นชอบการเดินทางเพื่อเปิดโลกใหม่ ๆ และชอบคลายเครียดด้วยทำอาหาร