People to connect with

เชื่อมโยงบุคคลสู่การสร้างแรงบันดาลใจ


ผศ.พญ.ฉัฐญาณ์ วงศ์รัฐนันท์


สร้างสุขภาวะคนวัยทำงานด้วย ‘ข้อมูล’ จุดเริ่มต้นของระบบสุขภาพที่ออกแบบได้ตรงจุดและนำไปใช้ได้จริง


      สุขภาพของคนวัยทำงาน ไม่ใช่เพียงเรื่องส่วนตัว แต่คือรากฐานของครอบครัว องค์กร และระบบเศรษฐกิจของทั้งประเทศ ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่คุกคามคนทุกช่วงวัย กลุ่ม “แรงงานในระบบ” กลับเป็นกลุ่มที่มีบทบาทขับเคลื่อนประเทศอย่างเต็มที่ แต่กลับถูกมองข้ามในฐานะ “ผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพ” อย่างจริงจัง

      the SPACE ชวนคุณเปิดมุมมองใหม่ผ่านบทสนทนากับ ผศ.พญ.ฉัฐญาณ์ วงศ์รัฐนันท์ หรือ “หมอฝน” นักวิจัยโครงการที่พยายามชำแหละพฤติกรรมสุขภาพของแรงงานในระบบ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง และตั้งคำถามกลับไปยังองค์กร สถานประกอบการ และรัฐว่า…เราดูแลสุขภาพของคนทำงานดีพอแล้วหรือยัง?

      บทความนี้ไม่ใช่เพียงรายงานปัญหา แต่คือการฉายภาพ “โครงสร้าง” ที่ต้องเปลี่ยน และ “ระบบข้อมูล” ที่ต้องเชื่อมโยง หากเราจะหวังให้การทำงานไม่ต้องแลกมาด้วยโรคเรื้อรัง หรือการสูญเสียในระยะยาว





วัยทำงาน: กลุ่มประชากรที่ควรถูกใส่ใจอย่างเร่งด่วน

      ด้วยสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและโครงสร้างประชากรของประเทศไทยในปัจจุบัน กลุ่มวัยทำงานถือเป็นกำลังหลักของสังคมที่มีบทบาทสำคัญทั้งในเชิงเศรษฐกิจและครอบครัว แต่ขณะเดียวกัน กลุ่มประชากรกลุ่มนี้กลับเริ่มสะสมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือแม้แต่ภาวะอ้วน ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

      ในบริบทนี้ ผศ.พญ.ฉัฐญาณ์ วงศ์รัฐนันท์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หมอฝน” จากภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ดำเนินการวิจัยในโครงการ “การศึกษาสถานการณ์ปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและพฤติกรรมสุขภาพที่เกี่ยวข้องของวัยทำงานในประเทศไทย” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาระบบติดตามการดูแลสุขภาพวัยทำงานอย่างบูรณาการ

      โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นแรงงานในระบบ ซึ่งสามารถเข้าถึงผ่านสถานประกอบการต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน


“เราเน้นกลุ่มวัยทำงานที่เป็นแรงงานในระบบ เพราะทุนที่ได้รับจากสำนัก 8 เน้นการสร้างเสริมสุข ภาพในสถานประกอบการ”
หมอฝนกล่าว



ข้อมูลที่มี ณ วันนี้ สะท้อนปัญหาสุขภาพวัยทำงาน

      จากข้อจำกัดด้านข้อมูลที่ได้กล่าวไปแล้ว โครงการวิจัยนี้จึงมุ่งเน้นไปยังกลุ่มข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้และมีความพร้อมมากที่สุด ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสุขภาพ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และกิจกรรมทางกาย โดยยังไม่สามารถครอบคลุมภาพรวมของปัญหาสุขภาพในวัยทำงานได้ทั้งหมด ข้อมูลจากการวิเคราะห์ในปัจจุบัน พบประเด็นปัญหาหลัก 3 กลุ่มที่เชื่อมโยงกับความเจ็บป่วยในวัยทำงาน ได้แก่:

  1. บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับอุบัติเหตุจราจร

    ข้อมูลชี้ว่าอัตราการสูบบุหรี่ในกลุ่มผู้ชายแรงงานในระบบอยู่ในระดับสูง โดยบางภาคอุตสาหกรรม เช่น ก่อสร้าง มีอัตราการสูบสูงกว่าค่าเฉลี่ย และกลุ่มผู้ที่เลิกบุหรี่สำเร็จส่วนใหญ่ใช้วิธีหักดิบเอง มากกว่าการเข้าถึงบริการให้คำปรึกษาจากโรงพยาบาล ในกลุ่มผู้ดื่มแอลกอฮอล์ พบว่าแรงงานในระบบกว่า 13% มีพฤติกรรมดื่มแล้วขับ และเกือบครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามเคยประสบอุบัติเหตุทางถนนมาก่อน ซึ่งนับว่าเป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อทั้งสุขภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของครอบครัว“วัยทำงานคือกำลังหลักของครอบครัว ถ้าเกิดอุบัติเหตุหรือเสียชีวิต มันจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อครอบครัว” หมอฝนกล่าว"

  2. พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม

    แรงงานในระบบกว่าครึ่งบริโภคอาหารประเภทหวานจัด มันจัด เค็มจัด หรืออาหารแปรรูปบ่อยครั้ง โดยเฉลี่ยเกิน 5 วันต่อสัปดาห์ ข้อมูลยังพบว่าพฤติกรรมนี้แทบไม่ต่างกันระหว่างภาคอุตสาหกรรมหรือกลุ่มอาชีพ แม้แต่กลุ่มสายสุขภาพหรือการศึกษาก็ยังมีพฤติกรรมนี้อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน“พอเป็นเรื่องอาหารเนี่ย มันไม่ใช่แค่เรื่องความรู้ แต่มันเกี่ยวกับการเข้าถึงอาหารสุขภาพที่ยังยากอยู่” หมอฝน ระบุ

  3. การมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ

    จากนิยามขององค์การอนามัยโลก กิจกรรมทางกายที่เพียงพอหมายถึงอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ (ระดับเหนื่อยปานกลาง) หรือ 75 นาที (ระดับเหนื่อยหนัก) ซึ่งจากการสำรวจพบว่าแรงงานเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่มีกิจกรรมทางกายถึงเกณฑ์ดังกล่าว ที่เหลือกว่า 70% จัดอยู่ในกลุ่ม “เหนื่อยนิ่ง” ซึ่งสะท้อนถึงภาวะขาดความเคลื่อนไหวอย่างเรื้อรังa “หลายคนใช้เวลาที่ทำงานวันละ 8-12 ชั่วโมง แต่กลับไม่มีโอกาสขยับร่างกายเลยในระหว่างนั้น” หมอฝนเน้นย้ำ

      ทั้งสามประเด็นนี้สะท้อนภาพพฤติกรรมสุขภาพของวัยทำงานไทยในวันนี้ได้อย่างชัดเจน และกลายเป็นจุดตั้งต้นสำคัญของการพัฒนาแนวทางการส่งเสริมสุขภาพเชิงนโยบายต่อไป





พฤติกรรมเสี่ยง: เหตุแห่งโรคเรื้อรังที่มองเห็นได้จากข้อมูล

      หนึ่งในชุดข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ มาจากผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมสุขภาพที่เชื่อมโยงกับโรคเรื้อรังของแรงงานในระบบได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การบริโภคอาหารที่มีไขมัน น้ำตาล หรือโซเดียมสูง รวมถึงการขาดกิจกรรมทางกาย

      จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า อัตราการสูบบุหรี่ในกลุ่มผู้ชายสูงถึงกว่าหนึ่งในสาม และการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำก็มีอัตราสูงเช่นกัน โดยในกลุ่มผู้ที่สามารถเลิกบุหรี่ได้ มีเพียงร้อยละน้อยเท่านั้นที่เข้าถึงบริการให้คำปรึกษาเพื่อการเลิกบุหรี่ ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาวิธี “หักดิบ” ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นวิธีที่มีโอกาสสำเร็จน้อย

      ขณะเดียวกัน การบริโภคอาหารไม่เหมาะสมก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่น่าวิตก แรงงานในระบบกว่าครึ่งบริโภคอาหารไม่ดีต่อสุขภาพอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ โดยไม่ได้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างอุตสาหกรรม ทำให้เห็นว่าความรู้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้ หากสิ่งแวดล้อมและการเข้าถึงยังเป็นอุปสรรค

“อาหารสุขภาพตอนนี้มันหารับประทานยากกว่าค่ะ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานที่ต้องการความรวดเร็วในการใช้ชีวิต”
หมอฝนอธิบาย



ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ = ความท้าทายของการออกแบบนโยบายสุขภาพ

      การจัดทำนโยบายสาธารณะด้านสุขภาพ จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่ครบถ้วนและเชื่อมโยงกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของวัยทำงานยังเต็มไปด้วยข้อจำกัด โดยเฉพาะข้อมูลจากภาคเอกชน คลินิก ร้านขายยา รวมถึงการดูแลตนเองเบื้องต้นที่มักไม่ได้บันทึกเข้าสู่ระบบข้อมูลกลางของภาครัฐ

      หมอฝนชี้ว่า หนึ่งในสาเหตุสำคัญคือความกังวลเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ไม่กล้าแบ่งปันข้อมูล แม้จะสามารถทำให้เป็นข้อมูลที่ไม่ระบุตัวบุคคล (de-identify) ได้ก็ตาม

“จริง ๆ แล้วถ้าเป็นข้อมูลที่ไม่บอกชื่อ ไม่บอกเลข 13 หลัก เช่น แค่เพศ อายุ โรคประจำตัว ก็สามารถนำมา ใช้เพื่อการวิเคราะห์ได้โดยไม่ละเมิดกฎหมาย”
หมอฝน อธิบาย

      นอกจากนี้ ลักษณะการใช้บริการสุขภาพของคนทำงานที่กระจายหลายแห่ง เช่น ใกล้ที่ทำงาน ใกล้บ้าน หรือเลือกโรงพยาบาลเอกชน ก็ยิ่งทำให้ภาพรวมของพฤติกรรมสุขภาพยากต่อการวิเคราะห์ หมอฝนเสนอว่า หากข้อมูลสุขภาพถูกเก็บไว้กับตัวประชาชนเอง เช่น ผ่านระบบสุขภาพดิจิทัลที่เจ้าตัวควบคุมได้ และสามารถแชร์ให้กับหน่วยบริการตามความสมัครใจ จะเป็นแนวทางที่เอื้อต่อการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างแท้จริง

“ถ้าเราสามารถเก็บข้อมูลไว้กับเจ้าตัว แล้วแชร์ให้หมอที่ดูแล หรือแชร์ให้กับการศึกษา มันจะเห็นภาพพฤติกรรมสุขภาพของเขาได้ทั้งระบบ”




เสียงสะท้อนจากข้อมูล: สถานประกอบการมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลง

      ข้อมูลจากการสำรวจสามารถนำมาพัฒนาเป็นเกณฑ์อ้างอิงในระดับอุตสาหกรรม เพื่อให้องค์กรที่เข้าร่วมโครงการสามารถประเมินสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมสุขภาพของพนักงานตนเองได้อย่างเป็นรูปธรรม หมอฝนเสนอว่า สถานประกอบการควรใช้ข้อมูลนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในสองประเด็นหลัก คือ การเลิกบุหรี่ และกิจกรรมทางกาย

“ในสถานประกอบการที่มีพนักงานตั้งแต่ 200 คนขึ้นไป จะต้องมีห้องพยาบาล ถ้าสามารถเพิ่มบริการให้คำ ปรึกษาเพื่อเลิกบุหรี่เข้าไปได้ ก็จะช่วยให้แรงงานเลิกบุหรี่ได้ง่ายขึ้น”


      สำหรับกิจกรรมทางกาย แม้องค์กรหลายแห่งจะจัดสวัสดิการให้พนักงานไปออกกำลังกายที่อื่น เช่น ฟิตเนส หรือสนามกีฬา แต่ในทางปฏิบัติ พนักงานกลับใช้เวลาส่วนใหญ่ในสถานประกอบการมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน หมอฝนเสนอว่า การปรับโครงสร้างพื้นฐานเล็กน้อย เช่น การจัดทำทางเดินภายในอาคาร หรือการเชื่อมต่อกับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อใช้สนามกีฬาในพื้นที่ จะเพิ่มโอกาสในการออกกำลังกายได้จริง

“ถ้าสามารถออกกำลังกายในที่ทำงานได้บ้าง จะช่วยเพิ่มกิจกรรมทางกาย ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง และทำให้สุขภาพของพนักงานดีขึ้นในระยะยาว”


ข้อมูลที่ดี คือรากฐานของการวางแผนเชิงนโยบาย

      ในระดับนโยบาย หมอฝนเห็นว่า ข้อมูลเชิงพฤติกรรมที่เจาะจงลงไปในแต่ละอุตสาหกรรม จะช่วยให้หน่วยงานอย่าง สสส. หรือสำนัก 8 สามารถกำหนดเป้าหมายในการสนับสนุนงบประมาณให้เหมาะสมกับบริบทแต่ละองค์กร ทั้งยังสามารถตั้งตัวชี้วัดที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงได้จริง

“สมมุติว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างมีอัตราสูบบุหรี่ร้อยละ 35 ถ้าองค์กรที่เข้าร่วมโครงการตั้งเป้าให้ลดเหลือร้อย ละ 20 ก็จะเป็น outcome ที่ชัดเจนและวัดผลได้”


      หมอฝนยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การมีข้อมูลที่แยกย่อยและแม่นยำ จะช่วยให้การใช้งบประมาณมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความสูญเปล่าจากการดำเนินโครงการแบบหว่านทั้งระบบ

“ถ้าทำโครงการเหมือน ๆ กันกระจายไปทั่ว มันอาจจะไม่คุ้มค่า แต่ถ้าเรารู้ว่ากลุ่มไหนป่วยอะไร ใช้ชีวิต อย่างไร แล้วออกแบบให้ตรง มันจะได้ผลดีกว่า”




ก้าวต่อไปของโครงการ: ข้อมูลที่ดี คือรากฐานของระบบสุขภาพ

      ข้อมูลที่สมบูรณ์ไม่ได้มีไว้เพื่อจัดเก็บเท่านั้น หากแต่เป็นจุดตั้งต้นของการออกแบบนโยบายสุขภาพที่ตอบโจทย์ชีวิตคนทำงานอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเมื่อนำไปใช้ในระดับองค์กรและนโยบายระดับประเทศ ผศ.พญ.ฉัฐญาณ์ วงศ์รัฐนันท์ หรือ "หมอฝน" ชี้ว่า การมีข้อมูลเชิงพฤติกรรมที่จำแนกได้ตามประเภทของอุตสาหกรรม จะช่วยให้หน่วยงานอย่าง สสส. หรือสำนัก 8 สามารถกำหนดเป้าหมายเชิงงบประมาณและออกแบบตัวชี้วัดผลลัพธ์ที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง แนวคิดสำคัญในโครงการนี้คือการขยับจากการดำเนินโครงการแบบครอบคลุมทั่วถึง ไปสู่การออกแบบที่ "ตรงจุด ตรงกลุ่ม" ซึ่งจะเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการลงทุนด้านสุขภาพ "หากรู้ว่ากลุ่มแรงงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างมีอัตราการสูบบุหรี่สูงกว่ากลุ่มอื่น เป้าหมายในการลดอัตราการสูบก็ต้องตั้งให้ชัด และวัดผลได้" หมอฝนให้ภาพอย่างชัดเจน

      ขณะเดียวกัน โครงการฯ ก็กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงวิเคราะห์ข้อมูลสำคัญอีกสองชุด ได้แก่ ข้อมูลจากสำนักสารสนเทศบริการสุขภาพ และระบบ Health Data Center (HDC) ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งสามารถสะท้อนภาพของการเจ็บป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในกลุ่มวัยทำงานที่มาใช้บริการในระบบประกันสังคมและระบบข้าราชการ แม้จะยังไม่สามารถแยกแรงงานในระบบอย่างชัดเจน แต่ก็ถือเป็นฐานข้อมูลที่มีศักยภาพสูงในการนำมาวิเคราะห์ในระดับภาพรวม

      การประมวลข้อมูลเชิงพฤติกรรมควบคู่กับข้อมูลการใช้บริการรักษาพยาบาล จะทำให้ได้ภาพสุขภาวะที่ครอบคลุมทั้งด้านต้นทางและปลายทางของระบบสุขภาพ เมื่อผสานเข้ากับเป้าหมายของโครงการที่มุ่งเน้นการสนับสนุนให้องค์กรออกแบบสิ่งแวดล้อมและบริการที่เอื้อต่อสุขภาวะของคนทำงาน จึงอาจกล่าวได้ว่า "ข้อมูลที่ดี" คือกุญแจสำคัญของการออกแบบระบบสุขภาพที่ไม่หยุดอยู่แค่การรักษา แต่ลงมือแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทางของพฤติกรรมและโครงสร้าง

“ถ้าเรามีข้อมูลเชิงพฤติกรรมที่เจาะลึกตามอุตสาหกรรม ก็จะตั้งเป้าหมายและออกแบบการสนับสนุนได้ตรงจุด ไม่ต้องทำโครงการแบบหว่าน ซึ่งมักไม่คุ้มค่า ตอนนี้เราก็อยู่ในช่วงวิเคราะห์ข้อมูลจากประกันสังคมและข้าราชการ แม้จะแยกแรงงานในระบบไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วยให้เห็นภาพรวมของโรคเรื้อรังในกลุ่มวัยทำงาน และเราพยายามทำให้เห็นว่า ในกรอบข้อมูลที่มีอยู่นี้ เราจะบอกอะไรได้บ้าง เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนใน ระดับองค์กรและนโยบาย”
หมอฝน สรุปส่งท้าย




จากข้อมูลสู่การเปลี่ยนแปลง: ทางเดินใหม่ของสุขภาพวัยทำงาน

      บทสนทนานี้สะท้อนความพยายามที่ “ลึก” และ “จริง” ของคนทำงานวิชาการที่เชื่อมั่นในพลังของข้อมูล ไม่ใช่เพียงเพื่อนำเสนอผลการศึกษาเชิงวิชาการ แต่เพื่อเปิด “ประตูความเข้าใจ” สู่ปัญหาสุขภาพของกลุ่มวัยทำงาน และเชื่อมโยงไปสู่การออกแบบระบบสนับสนุนสุขภาวะที่ดีขึ้นในระดับองค์กรและนโยบาย

      ข้อมูลสุขภาพของกลุ่มวัยทำงาน ไม่ใช่เพียงการวัดตัวเลขน้ำหนัก ส่วนสูง หรือสัดส่วนผู้สูบบุหรี่ หากแต่คือ “ภาพสะท้อน” ของระบบสังคม เศรษฐกิจ การเข้าถึงอาหาร พฤติกรรมการใช้ชีวิต และโครงสร้างของสถานประกอบการที่เราสร้างกันขึ้นมา

      จากมุมมองของเรา the SPACE เชื่อว่า โครงการวิจัยนี้ชี้ให้เห็น “ช่องว่าง” ที่ยังไม่มีใครอุด เช่น การขาดการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของแรงงานนอกระบบ, การไม่กล้าเปิดเผยข้อมูลเพราะความกลัวผิด พ.ร.บ., หรือแม้แต่การที่องค์กรยังไม่ตระหนักว่าตัวเองมีศักยภาพเป็น “ระบบสุขภาพขนาดย่อม” ได้

      นี่ไม่ใช่เพียงการสำรวจพฤติกรรม แต่คือการทำแผนที่สุขภาวะของแรงงานไทย — เพื่อชี้ทางให้สังคมเดินต่อ และหากจะมีอะไรที่โครงการนี้ฝากไว้ให้เราในฐานะคนอ่าน ก็คงเป็นคำเชิญชวนให้เรา “กล้าสนใจสุขภาพ” ของคนวัยทำงาน ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะป่วย

      ไม่ว่าจะในฐานะนักวิชาการ นักออกแบบนโยบาย เจ้าของกิจการ หรือคนธรรมดาที่ทำงานวันละ 8 ชั่วโมงขึ้นไป ถ้าเราทำให้องค์กรเป็นพื้นที่ที่ดูแลสุขภาพคนได้จริง นั่นอาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดของระบบสุขภาพทั้งประเทศ



เพราะสุขภาพดีของแรงงาน ไม่ได้สะท้อนแค่ในตัวเลข NCDs ที่ลดลง
แต่คือความมั่นคงของครอบครัว ระบบเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของคนทำงานนับล้าน








special co-creation









อรรถพล คู่กระสังข์

เชื่อในพลังของการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ สนใจสำรวจเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คน วิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะรากเหง้าอีสาน ชื่นชอบการเดินทางเพื่อเปิดโลกใหม่ ๆ และชอบคลายเครียดด้วยทำอาหาร