Policy stories

เล่าเรื่องนโยบายให้ใกล้ตัว

เมื่อบทเรียนอยู่นอกห้องเรียน

1 ปีหลังโศกนาฏกรรมทัศนศึกษา กับคำถามเรื่องความปลอดภัยที่ยังไม่จบ


      "ทัศนศึกษา" คือ กิจกรรมนอกห้องเรียน ที่ทำให้หัวใจของเด็กนักเรียนพองโต แค่จินตนาการถึงวันที่จะได้ไปก็สนุกแล้ว เพราะนี่คือโอกาสที่จะได้เดินทางร่วมกับเพื่อน ได้เที่ยวร่วมกับเพื่อน และได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงจากสถานที่จริงที่อาจไม่ได้ไปกับครอบครัว และกระตุ้นให้เกิดความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนมากขึ้นด้วย นอกจากเรื่องของความรู้สึกแล้วกิจกรรมนี้ยังช่วยพัฒนาทักษะทางสังคม ส่งเสริมการสร้างสัมพันธภาพระหว่างกัน เรียนรู้การทำงานร่วมกันผ่านกิจกรรม ช่วยเปิดโลกทัศน์และกระตุ้นให้เกิดการใฝ่เรียนรู้มากขึ้น

      แต่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ภาพแห่งความสุขของ “ทัศนศึกษา” ได้พลิกกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ทั้งประเทศไม่อาจลืม

      เหตุไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษาของนักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี บนถนนวิภาวดีรังสิต คร่าชีวิตครูและนักเรียนถึง 23 ราย และบาดเจ็บอีกหลายคน เหตุเกิดจากการยางรถแตกจนรถเสียหลักชนแบริเออร์ก่อนเกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรง รถบัสซึ่งมีอายุการใช้งานกว่า 50 ปี และถูกดัดแปลงติดตั้งถังแก๊ส NGV เกินกว่าที่กำหนด กลับกลายเป็น “กับดักไฟ” ที่พรากชีวิตเด็ก ๆ ไปในพริบตา

      โศกนาฏกรรมครั้งนั้น ไม่เพียงสร้างความเศร้าสะเทือนใจ แต่ยังกลายเป็น “เสียงเรียกร้องครั้งใหญ่” ให้สังคมไทยหันกลับมาทบทวนเรื่องความปลอดภัยของการเดินทางเพื่อการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา รวมถึงกรมขนส่งทางบก ต่างเร่งออกมาตรการเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย ตั้งแต่การตรวจสอบสภาพรถ การฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุ ไปจนถึงการห้ามเดินทางเวลากลางคืนโดยเด็ดขาด


หนึ่งปีผ่านไป เหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงเป็นคำถามที่สังคมไทยต้องหาคำตอบร่วมกัน
“เราจะทำอย่างไร ให้ทัศนศึกษาเป็นพื้นที่เรียนรู้ที่ปลอดภัย
และยังคงไว้ซึ่งความหมายอันงดงามของการเดินทาง”



      เพราะในอีกด้าน “ทัศนศึกษา” ก็ยังคงเป็นพื้นที่แห่งการเติบโตของเด็ก ๆ ที่ช่วยขยายโลกทัศน์ เปิดประสบการณ์ชีวิต และหล่อหลอมความเป็นมนุษย์ผ่านการเรียนรู้นอกห้องเรียน วันนี้ the SPACE จึงอยากชวนคุณย้อนมองบทเรียนตลอด 1 ปีที่ผ่านมา — ทั้งมาตรการที่เกิดขึ้น และคำถามใหม่ ๆ ที่เราทุกคนควรช่วยกันตอบ เพื่อให้ “ทัศนศึกษา” กลับมาเป็นสิ่งที่ปลอดภัยและมีคุณค่าอย่างแท้จริงอีกครั้ง

      หลังโศกนาฏกรรมครั้งนั้น ประเทศไทยทั้งประเทศต้องหยุดคิดและทบทวน “ระบบความปลอดภัย” ที่อยู่เบื้องหลังคำว่า ทัศนศึกษา อีกครั้ง เหตุการณ์ที่พรากชีวิตเด็กและครูถึง 23 ชีวิต ไม่ได้เพียงสร้างความโศกเศร้า แต่ยังกลายเป็นแรงผลักสำคัญที่ทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ต้องหันกลับมาทบทวนบทบาทและมาตรการของตนเองอย่างจริงจัง ตั้งแต่โรงเรียนที่เป็นผู้จัดกิจกรรม หน่วยงานกำกับดูแล ไปจนถึงผู้ให้บริการด้านการขนส่ง

      หนึ่งปีหลังเหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา สังคมไทยได้เห็นการ “ขยับตัว” ของภาครัฐในหลายระดับ ทั้งในเชิงนโยบาย มาตรฐานความปลอดภัย และแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดขึ้น เพื่อไม่ให้โศกนาฏกรรมลักษณะนี้เกิดซ้ำอีกครั้ง

      จากกระทรวงศึกษาธิการที่เร่งออกแนวทางควบคุมการเดินทางของนักเรียน ไปจนถึงกรมขนส่งทางบกที่ปรับหลักเกณฑ์ใหม่สำหรับผู้ประกอบการรถบัสโดยสาร — ทุกฝ่ายต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือ “ไม่ให้ความสูญเสียครั้งนี้สูญเปล่า”

      หนึ่งปีให้หลังจากเหตุการณ์นั้น “บทเรียน” เริ่มขยับกลายเป็น “การเปลี่ยนแปลง” หลายหน่วยงานลุกขึ้นทบทวนระบบที่ตนเองดูแล ตั้งแต่ห้องเรียน รถบัส ไปจนถึงกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัย เพื่อปิดช่องว่างไม่ให้ความสูญเสียแบบเดิมเกิดขึ้นซ้ำอีก



กระทรวงศึกษาธิการ

      หลังเกิดเหตุ 1 วัน พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น ได้สั่งการให้ทุกโรงเรียน “งดทัศนศึกษาที่ไม่จำเป็นทันที” หากจำเป็น ต้อง​มีผู้ปกครองร่วม​เดินทางไปด้วย​ แต่ที่ต้องเข้มงวดกว่าเดิมและออกเป็นมาตรการสำคัญคือการตรวจเช็คสภาพรถและคนขับก่อนออกเดินทางไกล และต้องมีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ​ ตรวจสอบอุปกรณ์ฉุกเฉินที่มีความพร้อมมากกว่านี้ โดยให้ความสำคัญสูงสุดในเรื่องความปลอดภัย การป้องกันและลดโอกาสเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต ในส่วนของสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ออกข้อกำหนด 16 แนวทางปฏิบัติเมื่อต้องพานักเรียนออกไปนอกสถานศึกษา โดยมีสาระสำคัญดังนี้


  1. ให้พิจารณาถึงความพร้อมและความสามารถในการดูแลตนเองขั้นพื้นฐานของนักเรียน และพิจารณาเลือกสถานที่คำนึงถึงระยะเวลาการเดินทาง สาระความรู้ ให้เหมาะสมกับช่วงวัยของนักเรียน

  2. ตรวจสอบสภาพรถยนต์โดยสารก่อนเดินทาง และให้ผู้ประกอบการตรวจสอบและรับรองความปลอดภัยตามที่กฎหมายกำหนด เช่น

    • มีเอกสารใบรับรองการตรวจสอบสภาพรถจากกรมขนส่งทางบก ไม่เกิน 30 วัน
    • ไม่ใช่ใช้รถยนต์ที่ติดตั้งระบบจ่ายพลังงานเชื้อเพลิงด้วยแก๊ส
    • มีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย เช่น มีเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง ประตูฉุกเฉิน ถังดับเพลิง ค้อนทุบกระจก ครบถ้วน และมีสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน
  3. ต้องจัดทำแผนเผชิญเหตุ ผู้ประกอบการขนส่งต้องรับผิดชอบการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุให้แก่นักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ก่อนออกเดินทาง

  4. สถานศึกษาต้องจัดทำสัญญาเช่ารถกับผู้ที่ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งจากกรมขนส่งทางบก และใช้รถที่จดทะเบียนเป็นรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งต้องมีการทำประกันภัยตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ แบบสัญญาเช่ารถยนต์ต้องกำหนดเงื่อนไข เกี่ยวกับสภาพรถและพนักงานขับรถ พร้อมระบุความรับผิดชอบเกี่ยวกับความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นให้ชัดเจน

  5. สถานศึกษาต้องจัดทำประกันอุบัติเหตุในการพานักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษาไปนอกสถานศึกษา เว้นแต่กรมธรรม์ประกันภัยที่สถานศึกษาจัดทำไว้ ได้ให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุในการเดินทางอยู่แล้ว

  6. ตรวจสอบบันทึกการเดินรถ โดยพนักงานขับรถจะต้องมีเวลาพักไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง และรถยนต์โดยสารจะต้องหยุดพักรถไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง ก่อนออกเดินทาง พร้อมประวัติพนักงานขับรถ/พนักงานประจำรถ

  7. การพานักเรียนไปนอกสถานศึกษา โดยใช้รถยนต์ไม่ต่ำกว่า 40 ที่นั่ง จำนวน 3 คันขึ้นไป ต้องจัดให้มีรถนำขบวน โดยมีป้ายข้อความที่ระบุโครงการ กิจกรรม และสถานศึกษาแสดงให้เห็นเด่นชัดติดที่ด้านข้างรถ และมีหมายเลขกำกับติดที่ด้านหน้า และด้านหลังรถในตำแหน่งที่ชัดเจน

  8. ตรวจสอบเส้นทางก่อนการเดินทางโดยให้คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ

  9. หากเส้นทางที่ขับไกลเกินกว่า 4 ชั่วโมง ผู้ประกอบการต้องจัดให้มีพนักงานขับรถ จำนวน 2 คน เพื่อสับเปลี่ยนขับ และจัดทำแผนการเดินทางให้มีระยะเวลาหยุดพักไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง หลังขับรถติดต่อกันเป็นระยะเวลา 4 ชั่วโมง

  10. กรณีที่เป็นการเดินทางในเส้นทางที่เป็นภูเขาลาดชันและคดเคี้ยว ให้ใช้รถยนต์โดยสารชั้นเดียวในการเดินทาง

  11. ห้ามนำนักเรียนออกเดินทางในเวลากลางคืน

  12. ต้องกำหนดให้มีครูที่เป็นผู้ควบคุมอย่างน้อย 2 คน และต้องผลัดกันทำหน้าที่คอยกำกับดูแลพนักงานขับรถไม่ให้ขับโดยใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือมีพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ หากพบเห็นพฤติกรรมดังกล่าวให้สั่งพักรถหรือหยุดการเดินรถทันที

  13. ผู้ควบคุมต้องกำกับดูแลนักเรียนให้คาดเข็มขัดนิรภัย

  14. ผู้ควบคุมต้องกำกับดูแล ไม่ให้มีการบรรทุกนักเรียนเกินจำนวนที่นั่งของรถยนต์โดยสาร

  15. ให้ความสำคัญกับการทำสัญญา โดยให้เน้นเรื่องความปลอดภัยกับผู้รับจ้างโดยระบุประเด็นที่เกี่ยวข้องที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดไว้อย่างชัดเจน

  16. ให้ถือเป็นหน้าที่ของผู้อำนวยการสถานศึกษา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ในการดูแล กำกับติดตาม ตรวจสอบให้เป็นไปตามมาตรการและแนวทางดังกล่าวข้างต้น อย่างละเอียดรอบคอบ



      ในขณะเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้ออกหนังสือแจ้งซักซ้อมแนวทางการพานักเรียนไปทัศนศึกษา ขอให้โรงเรียนพิจารณางดการพานักเรียนไปทัศนศึกษา ยกเว้นมีเหตุจำเป็น ขอให้โรงเรียนดำเนินการตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการพานักเรียน และนักศึกษาไปนอกสถานศึกษา พ.ศ. 2562 ประกาศ ณ วันที่ 15 ตุลาคม 2562 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 ประกาศ ณ วันที่ 28 เมษายน 2563 อย่างเคร่งครัด และพิจารณาดำเนินการ ดังนี้

  1. ตรวจสอบสภาพรถหรือยานพาหนะและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพดี และพร้อมที่จะใช้การได้อย่างปลอดภัย พนักงานขับรถหรือควบคุมยานพาหนะด้วยความระมัดระวัง โดยประสานกรมการขนส่งทางบกให้ตรวจสภาพรถ ยางรถ อุปกรณ์ต่าง ๆ ก่อนออกเดินทาง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น

  2. การพานักเรียนระดับต่ำกว่าชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ไปนอกสถานศึกษา และการทัศนศึกษาควรมีผู้ปกครองร่วมเดินทางไปด้วย

  3. กำหนดระยะเวลาและระยะทางในการเดินทางให้มีความเหมาะสม โดยพิจารณาสถานที่ใกล้โรงเรียนหรือภายในจังหวัด เป็นลำดับแรก

  4. จัดทำประกันภัยการเดินทางให้แก่นักเรียน ครู และผู้เกี่ยวข้อง

  5. จัดให้มีการซ้อมแผนเผชิญเหตุให้กับครูและนักเรียน

  6. ให้โรงเรียนรายงานการพิจารณาอนุญาตต่อผู้อนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน ตามแบบที่กำหนดในระเบียบกระทรวงศึกษาธิการฯ ก่อนวันเดินทางไม่น้อยกว่า 3 วันทำการ

      ทั้งนี้ ขอให้ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดพิจารณาอนุญาตการพาไปนอกสถานศึกษา หากเห็นว่าอาจมีภัยอันตรายไม่ปลอดภัยให้ระงับ ยับยั้ง ได้ตามที่เห็นสมควร



กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น

      ได้ออกหนังสือ มท 0810.4/ว 1037 ลงวันที่ 5 มีนาคม 2568 ถึงผู้ว่าราชการทุกจังหวัด เรื่อง แนวทางปฏิบัติทัศนศึกษาดูงานโดยรถโดยสารทัศนาจรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นจากโครงการทัศนศึกษาดูงาน โดยแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำกับ ติดตาม ตรวจสอบให้เป็นไปตามมาตรการและแนวทางอย่างละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะเรื่องการจัดหารถยนต์ไม่ต่ำกว่า 40 ที่นั่ง จำนวน 3 คันขึ้นไป ควรจัดให้มี "รถนำขบวน" โดยมีป้ายข้อความที่ระบุโครงการ กิจกรรม ให้เห็นเด่นชัดติดที่ด้านข้างรถและมีหมายเลขกำกับติดที่ด้านหน้าและด้านหลังรถในตำแหน่งที่ชัดเจน




กรมขนส่งทางบก

      มีการปรับหลักเกณฑ์ใหม่สำหรับผู้ประกอบการรถรับจ้างไม่ประจำทาง (รถบัสเช่าเหมา) เพื่อเสริมความปลอดภัยในการเดินทาง มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2568 เป็นต้นไป ดังนี้

  1. ด้านตัวรถ

    • ต้องจดทะเบียนเป็นรถโดยสารสาธารณะ (ป้ายเหลือง)
    • ติดตั้ง GPS Tracking
    • จัดทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
    • ตัวรถต้องมีความสมบูรณ์พร้อมใช้งาน ผ่านการตรวจสอบสภาพรถ และชำระภาษีอย่างถูกต้อง
    • ตัวรถต้องมีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย ได้แก่ เข็มขัดนิรภัย ประตูฉุกเฉิน ถังดับเพลิง ค้นทุบกระจก

  2. ด้านคนขับ

    • รถรับจ้างที่มีแผนการเดินทางเกิน 400 กิโลเมตร และต้องการเดินทางต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก ต้องจัดให้มีคนขับมากกว่า 1 คน เพื่อสับเปลี่ยนทุก 4 ชั่วโมง
    • ตรวจสอบข้อมูลผู้ขับรถ ต้องมีใบอนุญาตขับขี่ที่ถูกต้อง
    • ตรวจสอบความพร้อมของผู้ขับขี่ด้านสุขภาพ ไม่ใช้การเสพติดให้โทษ เช่น สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท หรือแอลกอฮอล์

  3. ด้านผู้โดยสาร

    • ขึ้นลงรถตามจุดนัดหมายที่มีความปลอดภัยและไม่กีดขวางทางจราจร
    • จดจำทะเบียนและลักษณะของรถเพื่อป้องกันการขึ้นลงผิดคัน
    • คาดเข็มขัดนิรภัยตลอดการเดินทาง สังเกตจุดติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัยภายในรถ เช่น ทางออกฉุกเฉิน ถังดับเพลิง ค้อนทุบกระจก เป็นต้น



ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.)

      นายแพทย์ธนะพงษ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ได้ตั้งข้อสังเกตถึงการจัดการเชิงระบบเพื่อความปลอดภัย ซึ่งตาม พ.ร.บ.จราจร คนขับคือคนที่ต้องรับผิดชอบ แต่หากมองเรื่องนี้ทั้งระบบ ความรับผิดชอบนี้ยังครอบคลุมถึงเจ้าของบริษัทรถ โรงเรียน และเขตพื้นที่การศึกษา ควรมีการทบทวนกระบวนการนำนักเรียนไปทัศนศึกษา โดยเฉพาะรูปแบบไปเช้าเย็นกลับที่มีการจัดการอย่างเร่งรีบ เช่น การนัดเด็กแต่เช้า คนขับต้องเตรียมรถตั้งแต่เช้ามืด ไม่มีเวลาซักซ้อมแผนกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เป็นต้น จะนำมาสู่การจัดการความปลอดภัยในการเดินทาง และการดูแลชีวิตเด็ก ๆ โดยจะต้องพิจารณาหลายเรื่อง ดังนี้

  1. การตรวจสภาพรถ มีความพร้อมมากแค่ไหน เพราะความเสี่ยงจากการทัศนศึกษากรณีการเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ ความเสี่ยงจากกรณีนี้คือการตรวจสภาพรถอาจไม่พร้อม หากมีการใช้บริการรถอย่างต่อเนื่อง ส่วนกรณีที่ไปค้างคืน ความเสี่ยง คือ ความพร้อมของคนขับ และเด็กต้องนอนในรถเพื่อประหยัดค่าที่พัก

  2. การเตรียมความพร้อม และความเหมาะสมของรถในการใช้ทัศนศึกษา ซึ่งกรณีนี้ประเภทรถอาจไม่เหมะสมกับอายุของเด็กเล็ก ส่วนอุปกรณ์ภายในรถที่จัดเตรียมไว้ ความสูงของรถขนาดนี้ ไม่สามารถที่เด็กจะออกมาจากรถได้ แม้จะมีอุปกรณ์ทุบกระจก ทางหนีไฟฉุกเฉิน

  3. จำนวนผู้โดยสาร 40 คน มากเกินไปเมื่อเทียบกับสัดส่วนกับครูที่ดูแล ซึ่งควรจะเป็น 1:10

  4. การซักซ้อม ทั้งการเผชิญเหตุการอพยพ จำเป็นที่จะต้องให้เด็กมีความรู้ ทักษะ ในการเอาตัวรอด และจะต้องทำต่อเนื่อง





      หลังเหตุการณ์ผ่านไป 1 ปี จะเห็นได้ว่ามีความพยายามขับเคลื่อนนโยบาย ข้อแนะนำ และแนวทางปฏิบัติที่ต่าง ๆ เพื่อ “ลดความเสี่ยง” ในการเกิดเหตุซ้ำ เพราะทุกคนเชื่อว่าอุบัติเหตุเช่นนี้สามารถป้องกันได้ หากจะสรุปบทเรียนสำคัญที่ได้จากเรื่องนี้ ขอสรุปจากปัจจัยความเสี่ยงในแต่ละด้าน ดังนี้



ให้ “ทัศนศึกษา” กลับมาเป็นการเดินทางที่ปลอดภัยและมีความหมาย

      ท้ายที่สุด “ทัศนศึกษา” ไม่ควรเป็นเรื่องของโชค หากแต่เป็นผลลัพธ์ของระบบที่รัดกุมและคนทุกฝ่ายที่รับผิดชอบต่อกัน—ตั้งแต่คนวางแผน คนขับรถ ครู ผู้ปกครอง ไปจนถึงเด็ก ๆ เอง หนึ่งปีที่ผ่านมาเราเห็นการขยับของนโยบาย มาตรการ และมาตรฐานความปลอดภัยมากขึ้น แต่คำถามสำคัญยังอยู่ที่ว่า “เรานำสิ่งเหล่านี้ไปทำให้เกิดขึ้นจริงหน้างานแค่ไหน”

      สำหรับพ่อแม่และโรงเรียน คำตอบอาจเริ่มที่ 3 คำง่าย ๆ : รู้–พร้อม–ตรวจ

  1. รู้

    สิทธิและมาตรฐานขั้นต่ำที่ควรได้รับ (รถจดทะเบียนถูกต้อง มีประกัน อุปกรณ์ฉุกเฉินครบ คนขับพักเพียงพอ)

  2. พร้อม

    ซ้อมแผนอพยพ ทำประกันการเดินทาง วางสัดส่วนครูต่อเด็กให้เหมาะสม

  3. ตรวจ

    เอกสารรถและคนขับ เส้นทาง เวลาออกเดินทาง (หลีกเลี่ยงกลางคืน) และความพร้อมของอุปกรณ์ก่อนออกรถทุกครั้ง



      สำหรับผู้กำหนดนโยบายและผู้ประกอบการ สิ่งที่ต้องเดินหน้าคือ เปลี่ยน “ข้อกำหนดบนกระดาษ” ให้เป็น “วินัยของระบบ”—เชื่อมฐานข้อมูลรถ–คนขับ–ใบอนุญาตให้ตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ สร้างดัชนีความปลอดภัยสำหรับผู้ให้บริการที่สาธารณะแต่ละโรงเรียนดูได้ทันที และทำให้การซ้อมแผนฉุกเฉินเป็น “เงื่อนไขบังคับ” ไม่ใช่ “คำแนะนำ”


      และสำหรับพวกเราทุกคนที่อยากเห็นเด็ก ๆ ได้ออกไปเรียนรู้โลกกว้างอย่างปลอดภัย—อย่าปล่อยให้โศกนาฏกรรมครั้งนั้นจบลงที่ความเศร้า จงให้มันจบลงด้วย มาตรฐานใหม่ของความรับผิดชอบร่วมกัน หากวันนี้เรายอมรับเพียงกิจกรรมที่ “ปลอดภัยพอ” วันพรุ่งนี้ก็จะพอแค่นั้น แต่ถ้าเรากำหนดให้ “ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ทำได้” เป็นมาตรฐานขั้นต่ำ การเดินทางของเด็ก ๆ จะกลับมามีทั้งความหมายและความสุข—อย่างที่ควรเป็นตั้งแต่แรก.




อ้างอิง







นที ขำอินทร์

นักออกแบบที่ชอบคิด ชอบเล่น ชอบเที่ยว ชอบเรียนรู้ และชอบหาทำอะไร ๆ ที่สนุกอยู่ตลอดเวลา เพราะเชื่อว่าการเริ่มต้นด้วยความสนุกจะช่วยปลุกการเรียนรู้สิ่งรอบตัวได้เสมอ