รากฐานแห่งเรื่องราว รากเหง้าของชีวิต
ในปี 2021 ซีรีส์เกาหลีใต้ "Squid Game" ได้สร้างปรากฏการณ์ระดับโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ด้วยเนื้อเรื่องที่เข้มข้น การเล่าเรื่องที่ชวนติดตาม และภาพลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ "Squid Game" ไม่เพียงแต่กลายเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Netflix แต่ยังเป็นหัวข้อสนทนาในหลากหลายวงการ ทั้งสื่อบันเทิง วัฒนธรรม และสังคม จนเกิดเป็นกระแสระดับโลกที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกหันมาสนใจวัฒนธรรมเกาหลีมากยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่อาจไม่คุ้นเคยกับซีรีส์เรื่องนี้ "Squid Game" นำเสนอเรื่องราวของกลุ่มคนที่มีปัญหาทางการเงินอย่างหนัก หลายคนเป็นหนี้สินล้นพ้นตัวและถูกผลักไสออกจากสังคม วันหนึ่งพวกเขาได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมการแข่งขันเกมลึกลับที่สัญญาว่าจะมอบเงินรางวัลมหาศาล หากสามารถชนะเกมทั้งหมดได้ แต่สิ่งที่พวกเขาต้องแลกมาคือความเสี่ยงต่อชีวิต เพราะเกมที่เล่นนั้นไม่ใช่แค่เกมธรรมดา หากแต่เป็น “การละเล่นพื้นบ้าน” ในวัยเด็กของเกาหลีที่ถูกบิดเบือนให้กลายเป็นเกมแห่งความเป็นและความตาย ความไร้เดียงสาของการละเล่นในอดีตถูกแทนที่ด้วยความกดดัน ความหวาดกลัว และความโหดร้ายในโลกแห่งความจริง
"Squid Game" ไม่ได้เป็นเพียงซีรีส์ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมด้วยฉากแอคชันสุดระทึก แต่ยังสะท้อนถึงประเด็นทางสังคมอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความสิ้นหวังของผู้คนที่ถูกกดดันด้วยปัญหาทางการเงิน และความโหดร้ายของระบบที่บีบคั้นให้คนต้องต่อสู้กันเองเพื่อความอยู่รอด
ความสำเร็จของ "Squid Game" จึงไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความแปลกใหม่ของแนวคิด แต่เป็นเพราะซีรีส์เรื่องนี้สามารถถ่ายทอดความจริงอันเจ็บปวดของสังคม ผ่านการเล่าเรื่องที่ผสมผสานความบันเทิง ความตื่นเต้น และบทวิพากษ์ทางสังคมได้อย่างลงตัว ทั้งหมดนี้ทำให้ "Squid Game" กลายเป็นมากกว่าซีรีส์ทั่วไป แต่เป็นงานศิลปะที่สะท้อนสังคมได้อย่างทรงพลัง
"Squid Game" เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ ซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ของเกาหลีใต้ ที่สามารถใช้วัฒนธรรมพื้นบ้านเป็นเครื่องมือในการสร้างความสนใจและขยายอิทธิพลทางวัฒนธรรมในระดับโลก การนำ การละเล่นพื้นบ้าน อย่างเกม “เออีไอโอยูหยุด” (무궁화 꽃이 피었습니다) เกมชักเย่อ และเกมลูกแก้ว มาเป็นหัวใจสำคัญในเนื้อเรื่อง ไม่เพียงแต่ทำให้ซีรีส์เต็มไปด้วยความตื่นเต้นชวนลุ้นในทุกฉาก แต่ยังแสดงให้เห็นถึง จิตวิญญาณของคนเกาหลี และสะท้อนประเด็นทางสังคมในเชิงลึก
เกมเหล่านี้เคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ และชุมชนท้องถิ่นในอดีต เป็นกิจกรรมที่เชื่อมโยงผู้คนในสังคมให้มีความใกล้ชิดกัน แต่เมื่อถูกนำมาปรับแต่งให้มีความโหดร้ายและเดิมพันด้วยชีวิตใน "Squid Game" เกมเหล่านี้กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของการแข่งขัน ความกดดัน และการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูง ความคุ้นเคยของผู้ชมกับเกมง่าย ๆ ในวัยเด็ก ช่วยสร้างความรู้สึกอินและเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็สร้างความรู้สึกย้อนแย้ง เมื่อเกมที่เคยเต็มไปด้วยความสนุก กลับกลายเป็นเกมแห่งชีวิตและความตาย
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ กระแสความนิยมในวัฒนธรรมเกาหลีที่แผ่ขยายไปทั่วโลก ผู้คนจากหลายประเทศไม่เพียงแต่พูดถึงเนื้อเรื่องและการเล่าเรื่องที่ชวนติดตามเท่านั้น แต่ยังเริ่มสนใจและทดลองเล่นเกมพื้นบ้านเหล่านี้ เช่น เกมดัลโกนา (เกมแกะขนมน้ำตาลให้ตรงตามรูป) ที่กลายเป็นไวรัลในโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว หลายคนสนใจค้นคว้าเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเกม และประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของเกาหลีใต้ "Squid Game" จึงไม่ได้เป็นแค่ความสำเร็จทางด้านบันเทิง แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันถึง พลังของซอฟต์พาวเวอร์ ในการเผยแพร่วัฒนธรรมผ่านสื่อบันเทิงที่น่าสนใจและเข้าถึงง่าย การเปลี่ยนเกมพื้นบ้านให้กลายเป็นสื่อกลางในการสะท้อนความเป็นจริงของสังคม ไม่เพียงทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ได้รับการยอมรับในระดับสากล แต่ยังทำให้ผู้คนทั่วโลกได้รู้จักและเข้าใจวัฒนธรรมเกาหลีในอีกมิติหนึ่ง ซึ่งเป็นความสำเร็จที่นับเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงวัฒนธรรมครั้งสำคัญ
ใน ซีซั่น 2 ของซีรีส์ Squid Game ยังคงใช้เสน่ห์ของ “การละเล่นพื้นบ้าน” ที่เป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมเกาหลี แต่ในครั้งนี้มีการเพิ่มความน่าสนใจด้วย เกมใหม่ ๆ ที่ได้รับการดัดแปลงและผสมผสานเข้ามา บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับเกมแต่ละประเภท ซึ่งสะท้อนทั้งความสนุก ความท้าทาย และวัฒนธรรมการละเล่นของชาวเกาหลี จนอาจทำให้คุณย้อนกลับมาตั้งคำถามว่า ถ้าเราเอาการละเล่นแบบไทย ๆ มาดัดแปลงเล่นดูบ้าง มันจะเป็นอย่างไรกันนะ?
เป็นเกมที่ตัวละคร The Salesman (รับบทโดย กงยู) ใช้เล่นเพื่อคัดเลือกผู้เข้าร่วมใน Squid Game ทั้งซีซั่น 1 และ 2 ตั๊กจี เป็นเกมพื้นบ้านของเกาหลีใต้ที่เล่นโดยใช้กระดาษพับเป็นรูปสี่เหลี่ยมเรียกว่า “ตั๊กจี” จากนั้นวางกระดาษพับทั้งสองแผ่นลงบนพื้น ผู้เล่นทั้งสองคนต้องสลับกันปากระดาษใส่กระดาษของฝ่ายตรงข้ามจนกว่ากระดาษจะพลิกหรือออกนอกเส้น
ในโลกของ Squid Game เกมนี้เล่นโดยตัวละคร The Salesman เพียงคนเดียว บทลงโทษสำหรับผู้เล่นคือ หากแพ้จะถูกตบหน้า แต่หากชนะจะได้รับเงินตอบแทน
หรือที่รู้จักในชื่อภาษาเกาหลีว่า "무궁화 꽃이 피었습니다" (Mugunghwa kkotchi piotsseumnida) เป็นการละเล่นพื้นบ้านของเกาหลีที่มีลักษณะคล้ายกับเกม "ไฟเขียวไฟแดง" ที่นิยมในหลายประเทศ กติกาของเกมคือ ผู้เล่นทั้งหมดจะเริ่มต้นจากจุดเริ่มต้นและต้องวิ่งไปยังเส้นชัย แต่ในระหว่างทางจะต้องหยุดเมื่อผู้ที่เป็น "ผู้ตรวจจับ" หันมาและตะโกนว่า "무궁화 꽃이 피었습니다" (Mugunghwa kkotchi piotsseumnida) ซึ่งหมายถึง "ดอกชบาบานแล้ว" เมื่อ "ผู้ตรวจจับ" หันหน้ามาและตะโกนคำนี้ ผู้เล่นทุกคนต้องหยุดทันทีและห้ามขยับตัว หากผู้เล่นคนใดขยับในขณะที่ "ผู้ตรวจจับ" หันหน้าอยู่ จะถูกตัดออกจากเกม ผู้เล่นที่สามารถวิ่งไปถึงเส้นชัยโดยไม่ถูกจับได้จะเป็นผู้ชนะ ในซีรีส์ Squid Game ผู้แพ้จะต้องถูกลงโทษด้วยความตาย
เป็นการละเล่นพื้นบ้านของเกาหลีที่มีลักษณะคล้ายกับการแข่งขันกีฬาหรือเกมทดสอบความสามารถของผู้เล่นหลายประเภทในเวลาเดียวกัน ผู้เล่นจะจับคู่กันเป็นคู่ โดยแต่ละคนจะผูกขาตัวเองเข้าด้วยกัน (มักจะใช้เชือกหรือลูกบอลที่ผูกไว้) เพื่อให้มีขาเพิ่มขึ้นเป็นหกขา
การแข่งขันในรูปแบบนี้จะเป็นการทดสอบความสามารถในการร่วมมือกันในการวิ่งหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยต้องอาศัยการประสานงานระหว่างทีมเพื่อให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใน Squid Game ยังมีการใส่ Mini-games เพิ่มเติมสำหรับการละเล่นนี้ ได้แก่ เกมตั๊กจี (Ddakji), เกมโยนหิน, เกมหมากเก็บ (Gong-gi), เกมหมุนลูกข่าง และ เกมเดาะลูกบอล (Jegi)
เป็นเกมพื้นบ้านของเกาหลีที่มักจะเล่นในกลุ่มใหญ่ ๆ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลหรืองานสังสรรค์ ต่างๆ เกมนี้เน้นความสนุกสนานและการเคลื่อนไหว โดยมีกติกาง่าย ๆ ที่ให้ผู้เล่นร่วมกันทำกิจกรรมในลักษณะของการจับคู่หรือจับกลุ่มตามจำนวนที่กำหนด
ในซีรีส์ Squid Game ผู้เล่นจะต้องยืนบนแท่นคล้ายกับม้าหมุนขนาดใหญ่ และรอให้แท่นนั้นหยุด เมื่อหยุดแล้วจะมีการประกาศหมายเลข ผู้เล่นจะต้องรีบจับกลุ่มให้ได้ตามจำนวนที่หมายเลขกำหนด จากนั้นต้องวิ่งเข้าไปหลบในห้องเล็ก ๆ ที่อยู่รอบห้อง ผู้เล่นที่ไม่สามารถไปถึงประตูได้ทันเวลา หรือไม่สามารถจับกลุ่มตามจำนวนที่กำหนด จะถูกตัดออกจากเกม
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของเกมใน Squid Game ซีซั่น 2 ซึ่งสามารถเปลี่ยนการละเล่นพื้นบ้านที่ดูเรียบง่ายในอดีต ให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการแข่งขันและการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด พร้อมทั้งสะท้อนวัฒนธรรมและสังคมของเกาหลีในมุมมองใหม่ ๆ ที่เข้าถึงผู้ชมทั่วโลกได้อย่างลึกซึ้
เมื่อย้อนกลับมามองที่ประเทศไทย การละเล่นพื้นบ้านของเรามีทั้งความสนุกสนานและความลุ่มลึกทางวัฒนธรรมไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นมอญซ่อนผ้า รีรีข้าวสาร งูกินหาง หรือขี่ม้าส่งเมือง ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตแบบชุมชน ความร่วมมือ การวางแผน และไหวพริบ ซึ่งนอกจากจะเป็นกิจกรรมสร้างความบันเทิงแล้ว ยังถ่ายทอดค่านิยมพื้นฐานของคนไทยในอดีตอีกด้วย
คำถามที่น่าคิดคือ… ถ้าเราเรียนรู้อะไรบางอย่างจาก Squid Game ได้ การนำวัฒนธรรมและการละเล่นพื้นบ้านไทยมาปรับให้ร่วมสมัย หรือแม้กระทั่งนำเสนอในรูปแบบที่แปลกใหม่และสร้างสรรค์ จะสามารถสร้างพลังซอฟต์พาวเวอร์แบบที่เกาหลีทำได้หรือไม่?ในวันที่โลกกำลังเปิดกว้างต่อวัฒนธรรมที่หลากหลาย เราอาจลองเริ่มต้นจากสิ่งที่เรามีอยู่—วัฒนธรรมประเพณี การละเล่นพื้นบ้าน อาหารพื้นถิ่น ไปจนถึงศิลปะพื้นเมือง แล้วนำเสนอให้โลกได้เห็นถึงความงดงามและคุณค่าในแบบไทย ๆ ซึ่งไม่ใช่เพียงการอนุรักษ์สิ่งที่กำลังเลือนหายไป แต่เป็นการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการเผยแพร่อัตลักษณ์ของชาติผ่านสื่อที่ทันสมัย
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ซอฟต์พาวเวอร์ที่แท้จริง ไม่ได้เกิดจากสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือไกลตัว แต่เกิดจากเรื่องราวรอบตัวเราที่มีคุณค่าและรอการถูกเล่าขานให้โลกได้รับรู้ — คำถามคือ... เราพร้อมหรือยังที่จะเปลี่ยนสนามเด็กเล่นของเรา ให้กลายเป็นสนามแห่งวัฒนธรรมที่เชื่อมโลกเข้ากับความเป็นไทย?
ศิลปิน เด็กเนิร์ด นักเขียน และผู้ที่คลั่งไคล้ในโลกของ Pop Culture