ก้าวไปกับการเรียนรู้
หากพูดถึงการศึกษา หลายคนอาจนึกถึงภาพคุ้นตาของเด็ก ๆ ในชุดนักเรียนที่เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการรีบเร่งไปโรงเรียน และจบวันด้วยการกลับบ้านพร้อมการบ้านกองโต หลายคนอาจจำได้ถึงตารางเรียนที่แน่นเอียด การเรียนพิเศษ หรือแม้แต่การเตรียมตัวสอบที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ในระบบการศึกษาไทย ภาพเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ผู้คนยอมรับว่าเป็นเส้นทางปกติของการเติบโต
ในอีกมิติหนึ่ง การศึกษายังถูกมองเป็นเครื่องมือวัดคุณค่าและสถานะทางสังคม หลายครอบครัวทุ่มเทเพื่อให้ลูกหลานสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังหรือมหาวิทยาลัยชั้นนำ เพราะเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะนำพาพวกเขาสู่ความสำเร็จในชีวิต การแข่งขันเพื่อการสอบเข้ากลายเป็นสนามรบทางวิชาการ เด็ก ๆ เติบโตมากับความกดดันของค่านิยมที่ให้ความสำคัญกับเกรด ผลสอบ และชื่อเสียงของสถาบันมากกว่าความสุขและการพัฒนาตัวเองอย่างแท้จริง การศึกษาในรูปแบบนี้จึงไม่เพียงสะท้อนถึงระบบ แต่ยังเผยให้เห็นบรรทัดฐานที่สังคมไทยใช้วัดคุณค่าของบุคคลผ่านเกราะของ "สถานะทางการศึกษา" อีกด้วย
คำถามที่หนึ่ง...เราเข้าใจความหมายของการศึกษาและการเรียนรู้ตรงกันไหม ?
คำถามถัดมา ถ้าไม่เคยผ่านระบบโรงเรียนเราจะยังมีการศึกษาไหม ?
การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมนุษย์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกช่วงเวลาของชีวิต ไม่ว่าผ่านการทดลอง การสังเกต การตั้งคำถาม หรือแม้กระทั่งความผิดพลาดที่ช่วยให้เราเข้าใจสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในห้องเรียน แต่เกิดขึ้นในทุกมิติของชีวิต ความสำคัญของการเรียนรู้คือการเปิดโอกาสให้มนุษย์พัฒนาตนเอง และเชื่อมโยงความรู้เดิมกับประสบการณ์ใหม่เพื่อสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ในบริบทของการศึกษา แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ถูกตีความและอธิบายผ่านมุมมองของนักการศึกษาหลายคน โดยเฉพาะ ทฤษฎีการเรียนรู้แบบมีโครงสร้าง (Constructivism) ซึ่งเน้นว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ขึ้นเองโดยมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม และการสะท้อนคิดเป็นหัวใจสำคัญ ทฤษฎีนี้ได้รับการพัฒนาจากแนวคิดของสองนักการศึกษาคนสำคัญ ได้แก่ ฌอง เพียเจต์ (Jean Piaget) และ เลฟ วีก็อตสกี้ (Lev Vygotsky) ซึ่งทั้งสองได้เสนอแนวทางที่ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของการเรียนรู้ได้อย่างลึกซึ้ง
ฌอง เพียเจต์ (Jean Piaget, 1983) นักการศึกษาคนสำคัญของโลก เชื่อว่ามนุษย์มี โครงสร้างทางสติปัญญา (Cognitive Structure) ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ซึ่งช่วยให้เราสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมโดยธรรมชาติและเรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ เพียเจต์มองว่ากระบวนการนี้เป็นแบบต่อเนื่อง โดยมนุษย์จะ ค่อย ๆ ซึมซับและปรับเปลี่ยนความคิดเดิมให้สอดคล้องกับข้อมูลใหม่หรือสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป การปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมนี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการพัฒนาทางเชาวน์ปัญญา (Cognitive Development) ซึ่งสามารถพัฒนาได้ตลอดเวลาเมื่อผู้เรียนมีประสบการณ์และโอกาสในการปรับตัว ซึ่งความเชื่อนี้เห็นพ้องไปทางเดียวกันกับแนวคิดของ เจโรม บรูเนอร์ (Jerome Bruner, 1963) นักจิตวิทยาและนักวิจัยชาวอเมริกัน ผู้มีชื่อเสียงในด้านการเรียนรู้และการพัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ บรูเนอร์เชื่อว่า “การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคมที่ผู้เรียนจะต้องลงมือปฏิบัติและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยมีพื้นฐานอยู่บนประสบการณ์หรือความรู้เดิม” เขาอธิบายว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนประมวลข้อมูลข่าวสารผ่านการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและสำรวจสิ่งรอบตัว การเรียนรู้ที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการท่องจำ แต่เกิดจากการตั้งคำถาม การทดลอง และการค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง บรูเนอร์เน้นว่า การรับรู้ของมนุษย์ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เลือกจะรับรู้ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากความสนใจ ความอยากรู้อยากเห็น และแรงจูงใจภายในตัวผู้เรียน ด้วยความอยากรู้ที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ บรูเนอร์เชื่อว่าผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ดีที่สุดผ่านการสำรวจสิ่งแวดล้อมและการค้นพบด้วยตนเอง การเรียนรู้ในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาความรู้ แต่ยังสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งและยั่งยืน พร้อมทั้งกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ที่ช่วยต่อยอดองค์ความรู้ในอนาคตได้อีกด้วย
กล่าวโดยสรุป ธรรมชาติของมนุษย์คือการเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการเรียนรู้ ซึ่งตามแนวคิดของ ทฤษฎีการเรียนรู้แบบมีโครงสร้าง (Constructivism) มองว่าความรู้เปรียบเสมือนการประกอบสร้างจากประสบการณ์ของแต่ละบุคคล การรับรู้และความเข้าใจของมนุษย์จะถูกหล่อหลอมจากประสบการณ์ที่ได้พบเจอ โดยมีความแตกต่างกันมากน้อยขึ้นอยู่กับประสบการณ์เดิมและความเชื่อที่มีต่อสิ่งนั้น ๆ ประสบการณ์ใหม่ที่เชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้เรียนสนใจ จะกระตุ้นให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ใหม่อย่างต่อเนื่อง ความรู้ที่เกิดขึ้นจึงเหมือนก้อนอิฐที่ค่อย ๆ สร้างเสริมต่อยอดกลายเป็นองค์ความรู้สะสมในตัวบุคคล ซึ่งนำไปสู่การก่อรูปความคิดใหม่ ความเชื่อใหม่ หรือแม้แต่ “กระบวนทัศน์” (Paradigm) ใหม่ที่มีผลต่อมุมมองของชีวิตและสังคม
1) ทุกมุมมองไม่มีถูกหรือผิดชัดเจน ความจริงหนึ่งเดียวของเราอาจเป็นความเท็จของอีกคนหนึ่งได้เสมอ หลายครั้งความถูกผิดขึ้นอยู่กับอารมณ์และทัศนะส่วนบุคคลมากกว่าหลักฐานเชิงประจักษ์เสียด้วยซ้ำ จึงไม่มีประโยชน์ใดๆ ที่จะถกเถียงเพียงเพื่อข้อสรุปหนึ่งเดียว
2) สิ่งต่างๆ ในโลกใบนี้ทั้งนามธรรม (อารมณ์ ความรู้สึก สิ่งที่ไม่มีรูปใดๆ รู้ได้เฉพาะทางใจเท่านั้น) และรูปธรรม (สิ่งที่เห็นปรากฏเป็นรูปจับต้องได้) ล้วนเกิดขึ้นจากปัจจัยแวดล้อมใดๆ ส่งผลให้เกิดขึ้นเสมอ ตามกฎอิทัปปัจจยตา คือ ‘สรรพสิ่ง’ ที่มีเหตุก็ต้องมีผล และเมื่อมีผลก็ย่อมต้องมีเหตุ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงยกเป็นกฎใหญ่แห่งจักรวาลที่ควบคุมทุกเรื่องราว และผลักดันให้เกิดเรื่องราวอื่นๆ เป็นเหตุและปัจจัยที่ผลักดันกันต่อๆ ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ความรู้ (Knowledge) เป็นสิ่งที่มีอยู่ในคนทุกคน ต่างกันเพียงระดับของความรู้นั้นมากน้อยต่างกัน (ซึ่งยังไม่เกี่ยวกับการนำความรู้ หรือสิ่งที่รู้นั้นไปสู่การใช้ประโยชน์ได้ในระดับใด) การที่มนุษย์คนหนึ่งจะรู้หรือไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งย่อมขึ้นกับประสบการณ์ที่เคยได้รับมาก่อนเสมอ คนที่ “ยังไม่รู้” ในวันนี้ จึงสามารถกลายเป็น “ผู้รู้” ได้ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า
และ “ทุกความรู้” นั้นมีคุณค่า อย่างน้อยก็สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของความรู้นั้น เด็กชายคนหนึ่งรู้แล้วว่า การจะก่อกองทรายให้เป็นรูปทรงได้ จำเป็นต้องใส่น้ำผสมทรายเข้าไปด้วย เขาจึงสามารถสร้างปราสาททรายได้สำเร็จ สิ่งนี้เพียงเล็กน้อยก็นับเป็นความรู้
ส่วน “การศึกษา” (Education) นั้น เป็นกระบวนการที่นำไปสู่การได้ผลผลิตที่เรียกว่า “ความรู้” ฉะนั้นการทดลอง การเล่น ความผิดพลาด การเปลี่ยนอุปกรณ์ การสังเกต การจดจำ การสอบถามของเด็กชายเพื่อสร้างปราสาททราย จึงเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาทั้งสิ้น ความรู้เกิดขึ้นได้เพราะมีองค์ประกอบสร้างหลายอย่างเข้ามาอยู่รวมกัน สิ่งนี้เป็นธรรมชาติ
ท่านพุทธทาสภิกขุได้กล่าวไว้ว่า
“ความถูกต้องมันอยู่ที่ไหน
ความถูกต้องสำหรับลิงนั้นมันเป็นอย่างไร ความถูกต้องสำหรับนกนั้นมันเป็นอย่างไร
แล้วเราก็จะพบว่า ความถูกต้องของมนุษย์นั้นมันเป็นอย่างไร”
คำถามข้างต้น ไม่ได้อยากชวนคุณมา "ดีเบต" กันว่าอะไรถูกหรืออะไรผิด เราเพียงอยากชวนกัน คิด – นึก - ถึง “เหตุ” ที่ส่งให้เกิด “ผล” ให้เราคนใดคนหนึ่งนับได้ว่าเป็น “ผู้มีการศึกษา” หรือแท้จริงแล้ว เราควรให้ค่ากับการเป็น “ผู้มีกระบวนการเรียนรู้” เพราะแท้จริงแล้วความรู้ไม่เคยหยุดอยู่แค่ประตูโรงเรียน
Educator ที่ยังคงเรียนรู้ทั้งข้างนอกและข้างใน