จับตาโลกและการเปลี่ยนแปลง
กำลังจะพ้น ปี พ.ศ.2567 มีสิ่งที่ติดค้างอยู่ในความคิดจนต้องนำพามันข้ามปีมาในปี พ.ศ. 2568 เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในประเทศไทยที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งๆที่ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมันเกิดขึ้นชัดเจนตรงหน้าเรา ทั้งเรื่องน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคใต้ที่ผ่านมา ซึ่งบางคนอาจบอกว่ามันเป็นเรื่องของธรรมชาติ บางคนบอกว่ามันมีมานานแล้ว บางคนบอกว่ามันเกิดเป็นปกติ บางคนบอกว่าเป็นเรื่องของการบริหารจัดการน้ำ การทำลายป่า การไม่มีผืนป่าไว้ดูดซับน้ำ หรืออาจจะเพราะมนุษย์ไปสร้างบ้าน สร้างที่อยู่อาศัยกีดขวางทางน้ำ
แต่มีใครปฏิเสธได้อย่างหนักแน่นว่า ไม่มีเลยแม้แต่เศษเสี้ยวที่จะไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โลกร้อน หรือโลกเดือด
ปี พ.ศ.2567 ที่ผ่านมาเป็นปีที่กรมลดโลกร้อน หรือ “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” เปลี่ยนชื่อมาจาก “กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม” ได้ครบ 1 ปี ในวันที่ 17 สิงหาคม (นับจากที่ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระราชกฤษฎีกา) นั่นแสดงให้เห็นว่า ในระดับประเทศ เราพอจะได้ตระหนักถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จนต้องยกระดับการทำงาน การปฏิบัติการ หรือการตอบสนองให้เป็นการบริหารราชการระดับกรม โดยมีพันธกิจ คือ 1) เสนอแนะนโยบาย แผน และขับเคลื่อนการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรวมทั้งการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ 2) ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 3) พัฒนา ให้บริการองค์ความรู้ และข้อมูลสารสนเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม 4) สื่อสาร สร้างจิตสำนึก เพิ่มศักยภาพของประชาชนให้พร้อมรับปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม 5) สร้างเครือข่ายความร่วมมือและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และ 6) ศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ซึ่งการดำเนินงานนี้เป็นการส่งสัญญาณให้กับประชาชนได้ทราบว่า ปัญหาเรื่องผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้น เราไม่สามารถรับมือหรือปรับตัวได้ด้วยวิธีการแบบเดิมๆ หรือด้วยความเร็วในการตอบสนองแบบเดิมได้อีก จำเป็นต้องขับเคลื่อน ผลักดัน รวมทั้งเพิ่มความหนักแน่นในการดำเนินงานให้มากกว่าที่ผ่านมาก ซึ่งผลที่จะเกิดขึ้นนั้นก็ต้องรอดูกันต่อไป
แต่ในอีกทางหนึ่งปลายปีที่ผ่านมา มีข่าวว่าสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงมติผ่านร่าง พรบ.ประมง ฉบับใหม่ ซึ่งมีผู้ให้ความเห็นและข้อห่วงกังวลว่า ความในมาตรา 69 "ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีช่องตาอวน เล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร ในเขต 12 ไมล์ทะเลนับจากแนวทะเลชายฝั่ง ในเวลากลางคืน" ซึ่งเป็นข้อความที่แตกต่างจากฉบับเดิม ที่ว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีช่องตาอวน เล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร ทำในเวลากลางคืน” ทำให้เป็นประเด็นในการถกเถียงว่า กฎหมายฉบับใหม่นี้ จะส่งผลอย่างไรต่อทะเลไทย หรือระบบนิเวศ
ทางฝั่งของรัฐบาลอาจจะพิจารณาว่า อำนาจอธิปไตยของไทยมีอยู่แต่ในพื้นที่เหนือทะเลอาณาเขต (territorial sea) ซึ่งมีความกว้างไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล โดยวัดจากเส้นฐานออกไปซึ่งได้รับการรับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (United Nations Convention on the Law of the Sea 1982) ว่ารัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตย (sovereignty) เหนือทะเลอาณาเขต ส่วนที่ต่อออกไปจากนั้น คือ เขตต่อเนื่อง (contiguous zone) ที่อยู่ถัดไปจากทะเลอาณาเขต โดยมีความกว้างไม่เกิน 24 ไมล์ทะเล วัดจากเส้นฐานที่ใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต โดยในเขตต่อเนื่องนี้รัฐชายฝั่งมีอำนาจในการกำหนดมาตรการที่จำเป็นแต่เพียงเพื่อป้องกันหรือลงโทษการละเมิดกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับศุลกากร การคลัง การเข้าเมือง และการสาธารณสุข เท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติไทยมีกำลังเจ้าหน้าที่ อุปกรณ์ เรือ หรือทรัพยากรอื่นที่จำเป็นในการตรวจสอบหรือบังคับใช้กฎหมายในประเด็นที่ว่านี้อย่างไร ยังไม่กล่าวถึงว่าทรัพยากรประมงที่ลดลงจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องแบกรับแรงกดดันจากวิธีการทำประมง หรือเครื่องมือการทำประมงที่เสี่ยงต่อการทำลายสัตว์น้ำวัยอ่อนนี้อีก เพราะทะเลในความเป็นจริงย่อมไม่มีอาณาเขตหรือรั้วปักปันที่ชัดเจน ผลกระทบย่อมส่งผลไปทั่วทั้งมหาสมุทรเฉกเช่นเดียวกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
จากพฤติกรรมทั้งสองด้านนี้ทั้งการพยายามจัดการ การลด หรือการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการใช้ทรัพยากรอย่างไม่คำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ลองย้อนกลับมาดูเหตุการณ์น้ำท่วมทั้งในภาคเหนือและภาคใต้ที่ผ่านมาว่าสาเหตุของปัญหานี้เกิดขึ้นจากธรรมชาติ หรือพฤติกรรมของมนุษย์ หรือกิจกรรมของมนุษย์ส่งผลให้ผลกระทบมันรุนแรงขึ้น
ก่อนที่จะตัดสินใจว่าผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากสาเหตุใด ควรทำความเข้าใจก่อนว่าทุกวันนี้สภาพภูมิอากาศของไทยเป็นอย่างไร จากรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2567 พบว่า ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2513-2565 จำนวนวันที่สภาพอากาศร้อนเฉลี่ย (อุณหภูมิสูงมากกว่า 35 องศาเซลเซียส) และจำนวนวันที่ฝนตกหนักเฉลี่ย (ปริมาณฝนมากกว่า 35.1 มิลลิเมตร) ในภาพรวมของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นั่นหมายถึงว่าประเทศไทยมีจำนวนวันที่ต้องประสบกับสภาพอากาศที่รุนแรงมากขึ้น แต่เมื่อพิจารณาปริมาณฝนเฉลี่ยต่อปี พบว่า ในปี พ.ศ.2565 มีปริมาณฝนเฉลี่ยเพียง 1,454.5 มิลลิเมตร ต่ำกว่าค่าปกติร้อยละ 10.4 (ค่าปกติคาบ 30 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2534-2563 เท่ากับ 1,622.9 มิลลิเมตร) และเป็นปริมาณฝนเฉลี่ยที่ต่ำกว่า ปี พ.ศ.2564 ที่มีปริมาณฝนเฉลี่ย 2.011.9 มิลลิเมตร ซึ่งสภาพดังกล่าวนี้เป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนที่มีสาเหตุหลักจากกิจกรรมของมนุษย์โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ
ในส่วนของปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือที่ผ่านมานั้นมีการประมาณการณ์ว่า เป็นภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายร้ายแรงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ใน ปี พ.ศ.2554 และความเสียหายจากคลื่นยักษ์สึนามิในปี พ.ศ.2547 สื่อหลายสำนักและนักวิชาการสรุปสาเหตุของความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้ว่ามาจากฝนที่ตกหนัก (มากกว่าปกติถึงร้อยละ 50-60) ในพื้นที่รับน้ำซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ป่าที่มีความสามารถในการรับและชะลอการไหลของน้ำ แต่ปัจจุบันพื้นที่เหล่านี้บางส่วนเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์พื้นที่เป็นพื้นที่เกษตร และพื้นที่เมือง ทำให้ศักยภาพในการรับและชะลอน้ำลดลง น้ำฝนที่ตกหนักจึงไหลบ่าเข้ามาในเขตพื้นที่เมืองก่อให้เกิดน้ำท่วมอย่างรวดเร็วและประชาชนยังไม่ทันได้เตรียมความพร้อมในการรับมือ นอกจากพื้นที่ซึ่งเคยท่วมเป็นปกติแล้วปัญหาน้ำท่วมในรอบนี้ยังเกิดขึ้นในพื้นที่ซึ่งไม่เคยพบปัญหาน้ำท่วมมาก่อน ซึ่งอาจจะสะท้อนถึงการขยายตัวของเมือง หรือการมีสิ่งกีดขวางการไหล และการระบายน้ำ นอกจากนั้นในเหตุการณ์น้ำท่วมภาคเหนือรอบนี้ยังมีการพูดถึงปัญหาการหายไปของพื้นที่รับน้ำซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำสาย ซึ่งมีพื้นที่อยู่ในประเทศเมียนมาประมาณร้อยละ 80 และอยู่ในประเทศไทยประมาณร้อยละ 20 ซึ่งจากข้อมูลพบว่าพื้นที่ต้นน้ำบางส่วนในประเทศเมียนมาเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรกรรมทำให้ศักภาพในการรับและชะลอการไหลของน้ำลดลง ดังนั้นในการแก้ไขปัญหาจึงไม่สามารถแก้ไขได้ในระดับพื้นที่หรือระดับประเทศแต่เพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศด้วย ทั้งในด้านของการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ และการวางระบบเตือนภัยน้ำไหลหลากที่สามารถแจ้งเตือนได้อย่างทันท่วงที อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปัญหารอบนี้มีขนาดใหญ่และก่อให้เกิดความเสียหายมาก คือ การขยายตัวของเมืองซึ่งอาจกีดขวางและทำให้การระบายน้ำไม่สะดวกจนเกิดน้ำท่วมขัง และส่งผลให้เกิดความเสียหายในพื้นที่เศรษฐกิจของเมือง
ในส่วนของน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ซึ่งเกิดในเวลาที่ใกล้เคียงกัน พบว่าปัญหาเกิดจากกลุ่มฝนขนาดใหญ่ที่เป็นกลุ่มหย่อมความกดอากาศต่ำเคลื่อนตัวมาจากประเทศมาเลเซียนำพาฝนเข้ามาตกในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและนานกว่าปกติ ซึ่งเหตุการณ์นี้มีแนวโน้มที่จะเกิดบ่อยขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในช่วงปรากฎการณ์เอลนีโญซึ่งน้ำทะเลมีอุณหภูมิสูง ส่งผลให้น้ำระเหยมากขึ้น ก่อให้เกิดเมฆฝนที่อุ้มน้ำไว้มาก เมื่อเกิดฝนตกจึงมีปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมามากกว่าปกติ ดังนั้นเมื่อมีปริมาณน้ำฝนมากประกอบกับฝนตกเป็นเวลานานจึงทำให้เกินศักยภาพการระบายน้ำของพื้นที่
จากปัญหาน้ำท่วมทั้งในพื้นที่ภาคเหนือและภาคใต้ที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เป็นผลมาจากกิจกรรมของมนุษย์ไปส่งผลให้ภัยธรรมชาติมีความรุนแรงมากขึ้น และเกินกว่าความสามารถในการรับมือของประชาชน หรือกลไกทางธรรมชาติเดิมในพื้นที่ เกิดความเสียหายทั้งต่อโครงสร้างพื้นฐาน วิถีชีวิต และเศรษฐกิจ ดังนั้นสิ่งที่เราสามารถทำได้ในปัจจุบันอาจจะต้องมองให้ไกลไปกว่าการแก้ไขปัญหาแบบเดิมที่มักพบว่าเป็นมาตรการเชิงโครงสร้าง เช่น การทำผนังกั้นน้ำ คลองระบายน้ำ หรือเขื่อน แต่จำเป็นต้องกำหนดมาตรการในการปรับตัวให้สามารถอยู่ได้กับปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น การก่อสร้างบ้านหรืออาคารในอนาคตที่ต้องกำหนดพื้นที่ที่สามารถก่อสร้างได้ หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีความเสี่ยง หรือกำหนดรูปแบบโครงสร้างที่ต้องสามารถรับมือกับน้ำท่วมขัง หรือน้ำไหลบ่าได้ นอกจากนั้นสิ่งที่ประเทศไทยควรทำทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น คือ การกำหนดมาตรการในการรับมือที่ชัดเจน ทั้งหน่วยงาน หรือบุคคลที่ต้องรับผิดชอบในแต่ละฝ่ายงานหรือหน้าที่ แผนเผชิญเหตุ แผนอพยพ พื้นที่รองรับการอพยพ การเตรียมพร้อมในด้านทรัพยากร เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ต้องใช้ การซ้อมแผนต่างๆ และที่สำคัญที่สุด คือ การทำให้คนไทยทุกๆ คนรู้ได้ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์หรือภัยต่างๆ ขึ้นต้องทำอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ถ้าน้ำท่วมครั้งต่อไปขึ้น..............คุณจะทำอย่างไร
ท้ายที่สุดแล้ว การเผชิญกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐ แต่คือความร่วมมือของทุกคนในสังคม ทั้งการปรับตัว
การเตรียมพร้อม และการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง หากเรารู้จักเรียนรู้ รับมือ
และร่วมกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุลก็อาจเป็นไปได้มากขึ้นในอนาคต
อ้างอิง
นักวิชาการสิ่งแวดล้อมผู้ค้นพบว่า ความรู้ ความสนุกและประโยชน์ สามารถเดินไปด้วยกันได้นอกห้องเรียน