Green Solutions

เปลี่ยนเพื่ออยู่รอด

โลกที่เปลี่ยนไป กับบทบาทของ อปท. ที่ต้องเปลี่ยนแปลง: ทางรอดของชุมชนท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศ


      “โลกร้อน โลกรวน โลกเดือด” เป็นคำที่ได้ยินบ่อยครั้งในแวดวงผู้ทำงานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม องค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม หน่วยงานรัฐที่มีภาระหน้าที่ในการดูแลและจัดการสิ่งแวดล้อม วงวิชาการในคณะ หรือภาควิชาที่สอนด้านสิ่งแวดล้อม หรือศาสตร์อื่นๆที่มีความคาบเกี่ยวกับสาเหตุและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ถูกต้อง เหมาะสม และสมควรที่จะเกิด เพราะปัญหาต่างๆเด่นชัด และทวีความรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งน่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่อง ยาวนาน และอยู่กับเราไปในช่วงอนาคตที่เหลือ ในฐานะนักสิ่งแวดล้อมนความเชื่อส่วนตัว



      ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ประสบอยู่นี้เราในฐานะมนุษย์น่าจะไม่สามารถแก้ไข หรือลบมันออกไปจากชีวิตเราได้ เราสามารถทำได้ดีที่สุด คือ ลดความรุนแรง บรรเทาผลกระทบ และปรับตัวอยู่กับมันให้ได้ อย่างมีคุณภาพชีวิตที่เป็นปกติสุขที่สุด ต่อปัญหาที่เราต้องเจอหรือผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้น เราในฐานะครัวเรือน หรือชุมชน ต้องเสริมสร้างความสามารถให้เป็นชุมชนที่มีความยืดหยุ่นสำหรับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ หรือ Resilient community for climate crisis ซึ่งหมายถึง ชุมชนที่มีความสามารถในการรองรับ ปรับตัว และฟื้นตัวจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง น้ำท่วม ดินถล่ม รวมทั้งปัญหาโรคระบาดในมนุษย์ และสัตว์เลี้ยง ซึ่งอาจเกิดถี่ และรุนแรงมากขึ้นในสภาวะที่อุณหภูมิสูงขึ้น หรือสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน



      แวดวงวิชาการในประเทศไทยมีความตื่นตัวในการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของ ดร.อัศมน ลิ่มสกุล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม บ่งชี้ว่า ประเทศไทยได้เริ่มมีการศึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตั้งแต่ พ.ศ. 2533 โดยระยะแรกเป็นการประยุกต์ใช้แบบจำลองสภาพภูมิอากาศ ทว่าหลังจากการออกรายงานฉบับที่ 4 ของหน่วยงานระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change; IPCC) การศึกษาเรื่องดังกล่าวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยหน่วยงานวิจัยต่างๆ โดยมี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นหน่วยงานหลักในการให้การสนับสนุนงบประมาณด้านการวิจัย นั่นแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีการศึกษาและสะสมองค์ความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมิติต่างๆ โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทย องค์ความรู้เหล่านี้เป็นพื้นฐานในการกำหนดแนวปฏิบัติ มาตรการ หรือนโยบายที่จำเป็นสำหรับการปรับตัวเพื่อรับมือและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนั้นพันธกรณี (Commitment) ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มาตรา 4.1 ได้เรียกร้องให้ภาคีสมาชิกอนุสัญญาฯ ส่งเสริมและสร้างความร่วมมือในการศึกษาวิจัยและระบบสังเกตการณ์ (Research and Systematic Observation; ROS) รวมถึงการพัฒนาฐานข้อมูล เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการดำเนินงานที่จำเป็นในระดับต่างๆ สำหรับการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัว หน้าที่ต่อจากนั้น คือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกระดับต้องนำองค์ความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์และผนวกกับการทำงานในส่วนต่างๆที่รับผิดชอบ



      จากเนื้อหาเหล่านี้ และสภาพความเป็นจริงที่ผมในฐานะผู้เขียนบทความพบเจอเมื่อทำงานในพื้นที่ คือ ความเข้าใจในสาเหตุ และปัญหาของผู้ปฏิบัติการระดับต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กำหนดให้รัฐต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในขอบเขตที่กว้างและครอบคลุมทุกมิติ เช่น การอนุญาตให้ดำเนินการใดๆที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืน เป็นต้น นอกจากนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังเป็นหน่วยงานแรกๆ ที่ประชาชนจะขอรับความช่วยเหลือเมื่อประสบกับปัญหาต่างๆ ทั้งภัยแล้ง น้ำท่วม ดินถล่ม โรคระบาดในมนุษย์ และสัตว์เลี้ยง สิ่งที่กล่าวมานี้ น่าจะเป็นภาพที่หลายท่านคุ้นเคย หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือปัญหาซึ่งมีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

      สิ่งที่หลายฝ่ายเป็นกังวล คือ ความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งในด้านจำนวนบุคลากร หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่จำเป็นสำหรับการทำงานเพื่อแก้ไขและลดผลกระทบจากปัญหาเหล่านี้ เพราะโลกในอนาคตต่อจากนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะประสบกับปัญหาที่ซับซ้อน และมีหลายมิติมากขึ้น และจำเป็นต้องพัฒนาท้องถิ่นของตนให้เป็น Resilient community ให้ได้ เพราะปัญหาที่มีสาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนับวันจะรุนแรงมากขึ้น และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นชุมชนจำเป็นต้อง “ยืดหยุ่น” และ “ฟื้นตัว” ให้ไวที่สุด ซึ่งหน่วยงานหนึ่งที่ต้องรับภาระในการสร้างและพัฒนาชุมชนให้มีศักยภาพนี้ คือ “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น”


อ้างอิง







ดร.จักรพันธ์ นาน่วม (รองคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา )

นักวิชาการสิ่งแวดล้อมผู้ค้นพบว่า ความรู้ ความสนุกและประโยชน์ สามารถเดินไปด้วยกันได้นอกห้องเรียน