Health Innovation

ก้าวใหม่ของการดูแลสุขภาพ

สหรัฐฯ อนุมัติ ‘ยาป้องกัน HIV’ ชนิดฉีดปีละสองครั้ง เปิดความหวังพลิกโฉมการต่อสู้โรคระบาดในศตวรรษที่ 21


      เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 สำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้อนุมัติการใช้ “เลนาแคพาเวียร์” (Lenacapavir) ภายใต้ชื่อทางการค้า “เยซทูโก” (Yeztugo) ในฐานะยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ชนิดฉีดที่ออกฤทธิ์ยาวนาน โดยฉีดเพียงสองครั้งต่อปี นับเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการอนุมัติยาสำหรับป้องกัน HIV ที่มีระยะเวลาออกฤทธิ์นานถึงหกเดือน ซึ่งถูกมองว่าเป็น “หมุดหมายสำคัญ” ในความพยายามหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีที่ยืดเยื้อมานานกว่าสี่ทศวรรษ

ก้าวกระโดดแห่งวงการแพทย์: ป้องกันได้…โดยไม่ต้องกินทุกวัน

      ยาป้องกันเอชไอวีแบบเดิม—ที่รู้จักกันในชื่อ PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis)—มีทั้งแบบรับประทานทุกวัน เช่น Truvada หรือแบบฉีดทุกสองเดือน เช่น Apretude แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ปัญหาสำคัญคือความยากลำบากในการรับประทานหรือเข้ารับการฉีดยาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งส่งผลต่ออัตราการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และลดประสิทธิผลของยา

      เลนาแคพาเวียร์จึงกลายเป็นตัวเปลี่ยนเกม ด้วยคุณสมบัติที่ออกฤทธิ์ได้นานในร่างกาย หลังฉีดเข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังบริเวณหน้าท้อง ยาจะค่อยๆ ซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างต่อเนื่องตลอดหกเดือน โดยมีผลป้องกันการติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพสูงมาก

      ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิกขนาดใหญ่ 2 ฉบับ ได้แก่ PURPOSE 1 และ PURPOSE 2 แสดงให้เห็นว่าในกลุ่มผู้หญิง (cisgender women) ที่เสี่ยงสูงในแอฟริกาใต้และยูกันดา ไม่พบการติดเชื้อ HIV เลยในกลุ่มที่ได้รับยาฉีด ขณะที่อีกการศึกษาหนึ่งในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) และผู้มีอัตลักษณ์ทางเพศหลากหลายในหลายประเทศรวมถึงสหรัฐฯ พบประสิทธิภาพของยาสูงถึง 96%


“เลนาแคพาเวียร์อาจไม่ใช่วัคซีน แต่ให้ผลในการป้องกันที่ใกล้เคียง และในระดับที่เรายังไม่เคยเห็นจากวัคซีนใด ๆ ที่พัฒนามาเพื่อ HIV”

      — ศ. เดวิด โฮ ผู้บุกเบิกวงการต้านไวรัส HIV จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย




เบื้องหลังนวัตกรรมยา: เลนาแคพาเวียร์ทำงานอย่างไร

      เลนาแคพาเวียร์เป็นยาต้านไวรัสกลุ่ม capsid inhibitor ที่ออกฤทธิ์โดยเข้าไปรบกวนกระบวนการทำซ้ำของเชื้อ HIV หลายขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการนำสารพันธุกรรมเข้าสู่เซลล์เป้าหมาย หรือการรวมตัวของไวรัสใหม่ที่พร้อมแพร่เชื้อ การออกฤทธิ์หลายกลไกดังกล่าวทำให้เชื้อมีโอกาสน้อยมากที่จะกลายพันธุ์จนดื้อยา

      คุณสมบัติสำคัญอีกประการของเลนาแคพาเวียร์ คือ half-life ที่ยาว นั่นคือ เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายแล้ว ยาจะคงระดับความเข้มข้นในกระแสเลือดได้นาน ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาบ่อยครั้ง และยังสามารถออกฤทธิ์ได้เพียงลำพังในการป้องกันการติดเชื้อ ในขณะที่การใช้เพื่อการรักษาในผู้ที่ติดเชื้อแล้ว มักต้องใช้ร่วมกับยาอื่นเพื่อป้องกันการดื้อย



จุดเปลี่ยนของการวิจัยวัคซีน HIV: ความสำเร็จที่กลายเป็นเงาทับ

      การอนุมัติให้ใช้เลนาแคพาเวียร์เพื่อการป้องกัน HIV ไม่เพียงแต่เป็นข่าวดีของผู้คนที่ต้องการทางเลือกใหม่ในการป้องกันโรค แต่ยังส่งผลสะเทือนต่อทิศทางของงานวิจัยวัคซีนต้าน HIV โดยตรง

      กว่า 40 ปีที่นักวิทยาศาสตร์พยายามพัฒนาวัคซีนป้องกัน HIV แต่ยังไม่มีวัคซีนใดให้ผลป้องกันที่น่าพอใจ ขณะที่เลนาแคพาเวียร์กลับให้ประสิทธิภาพเกือบสมบูรณ์ หากนำมาเปรียบเทียบกับวัคซีน แนวทางของยาแบบฉีดนี้จึงเป็น “วัคซีนทางเลือก” ที่ใช้ยาแทนการฝึกระบบภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ

      อย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของยาที่มีประสิทธิภาพสูงอาจเป็นอุปสรรคเชิงจริยธรรมในการทดลองวัคซีน เพราะไม่สามารถให้กลุ่มทดลองได้รับยาหลอก (placebo) ได้โดยง่ายอีกต่อไป และทำให้แหล่งทุนสนับสนุนจำนวนมากอาจย้ายความสนใจไปยังการพัฒนายารูปแบบใหม่ที่เข้าถึงง่ายและมีต้นทุนต่ำกว่าแทน


“เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ความหวังใหม่มาในขณะที่รากฐานทางนโยบายถูกถอนออก การพัฒนาวิทยาศาสตร์ก้าวหน้า แต่การส่งต่อถึงผู้คนกลับติดกับดักการตัดงบประมาณและโครงสร้างที่สลายไป”— เควิน ฟรอสต์, CEO มูลนิธิ amfAR

โอกาสในการเปลี่ยนอนาคต: ความเป็นไปได้ของ ‘ยุคปลอด HIV’

      แม้จะถือเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่การแปลงศักยภาพของเลนาแคพาเวียร์ให้เป็นเครื่องมือสาธารณสุขในระดับโลกยังเต็มไปด้วยอุปสรรค



“การฉีดทุก 6 เดือนเป็นทางเลือกที่ ‘ตั้งค่าแล้วลืมไปได้เลย’ ช่วยลดปัจจัยเรื่องอคติ ความอาย และภาระในชีวิตประจำวันที่อาจทำให้คนละเลย PrEP แบบเดิม” — ดร. จาเร็ด บีตัน รองประธาน Gilead Sciences





บทสรุป: จากวิทยาการล้ำสมัย สู่แนวทางสุขภาพที่ไม่อาจละเลย

      แม้ว่ายาเลนาแคพาเวียร์จะเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของวงการแพทย์ ในฐานะ “วัคซีนทางเลือก” ที่สามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงและใช้ความถี่ต่ำเพียงปีละสองครั้ง แต่สิ่งที่ไม่ควรถูกมองข้ามไปคือข้อเท็จจริงที่ว่า ยาเลนาแคพาเวียร์ไม่ได้สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หรือไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี นอกจากนี้ยังไม่สามารถใช้แทนการตรวจหาเชื้ออย่างสม่ำเสมอ หรือการปรึกษาทางการแพทย์เกี่ยวกับพฤติกรรมเสี่ยง

      ในบริบทของสุขภาพสาธารณะ แนวทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดยังคงอยู่ที่ “การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย” (safe sex) ซึ่งรวมถึงการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ การเข้าถึงข้อมูล ความรู้ และการตรวจหาเชื้ออย่างเป็นระบบ ตลอดจนการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดอคติและไม่ตีตราผู้มีความหลากหลายทางเพศหรือผู้มีความเสี่ยง


“ยาฉีดปีละสองครั้งอาจเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่เครื่องมือที่ทรงคุณค่ายิ่งกว่านั้นคือความรู้ ความเข้าใจ และการตัดสินใจที่มีข้อมูลเป็นฐาน” — the SPACE

      ท้ายที่สุด แม้เทคโนโลยีการแพทย์จะก้าวหน้าไปไกลเพียงใด แต่หากโครงสร้างนโยบาย สาธารณูปโภคด้านสุขภาพ และจิตสำนึกทางสังคมยังไม่สามารถประคับประคอง “ความก้าวหน้า” ให้กลายเป็น “การเข้าถึง” ได้อย่างเป็นธรรม ก็อาจทำให้ศักยภาพของนวัตกรรมครั้งนี้ต้องตกอยู่ในความคาดหวังที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง

      ดังนั้น ในวันที่โลกมียาป้องกัน HIV ที่ฉีดเพียงปีละสองครั้ง สิ่งที่เราทุกคนควรร่วมกันขับเคลื่อนควบคู่กันไปคือ การป้องกันแบบรอบด้าน ที่ตั้งอยู่บนหลักการของสุขภาพที่ดี สิทธิที่เท่าเทียม และการดูแลซึ่งกันและกันในสังคม


อ้างอิง







อรรถพล คู่กระสังข์

เชื่อในพลังของการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ สนใจสำรวจเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คน วิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะรากเหง้าอีสาน ชื่นชอบการเดินทางเพื่อเปิดโลกใหม่ ๆ และชอบคลายเครียดด้วยทำอาหาร