เล่าเรื่องนโยบายให้ใกล้ตัว
เด็กปฐมวัยหมายถึงเด็กที่อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึงประมาณหกปีแรกของชีวิต ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สมองและระบบประสาทมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในชีวิตมนุษย์ นักวิชาการด้านพัฒนาการเด็กและองค์การระหว่างประเทศอย่างองค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การยูนิเซฟ ต่างยืนยันตรงกันว่าช่วงเวลาดังกล่าวคือ “ช่วงวัยทองของการพัฒนาชีวิต” (golden period of development) เพราะประสบการณ์ การเลี้ยงดู และสิ่งแวดล้อมในช่วงวัยนี้จะส่งผลโดยตรงต่อทักษะการเรียนรู้ บุคลิกภาพ สุขภาพ และศักยภาพทางสังคมของมนุษย์ตลอดชีวิต
การพัฒนาเด็กปฐมวัยได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างทุนมนุษย์คุณภาพ เด็กเล็กที่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมจะเติบโตขึ้นมาเป็นพลเมืองที่มีสมรรถนะทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสติปัญญา ซึ่งจะสะท้อนกลับมาเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต งานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษาโดย James Heckman นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ยังชี้ชัดว่าการลงทุนในเด็กปฐมวัยให้ผลตอบแทนสูงสุดเมื่อเทียบกับการลงทุนในวัยอื่น ๆ ทั้งในแง่ของคุณภาพการศึกษา สุขภาวะ และการมีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจและสังคม
ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงได้กำหนดนโยบาย “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม” ขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโอกาส ลดข้อจำกัด และเพิ่มคุณภาพชีวิตแก่เด็กเล็กในทุกมิติ นโยบายดังกล่าวไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความสำคัญของการลงทุนในอนาคตของชาติ แต่ยังเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำและเสริมสร้างศักยภาพมนุษย์ตั้งแต่รากฐานของชีวิต
นโยบาย “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม” ถือเป็นมาตรการสำคัญระดับชาติที่สะท้อนความตระหนักของรัฐไทยต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยมีเป้าหมายเพื่อดูแล สนับสนุน และกระตุ้นให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีรอบด้าน ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา อันเป็นรากฐานสำคัญต่อคุณภาพชีวิตและศักยภาพในอนาคต คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบนโยบายดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2566 และกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ ภายใต้ชื่อ “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤต” การประกาศนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบระยะยาวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ไปจนถึงปัญหาการใช้สื่อหน้าจอเกินควรในเด็กเล็กที่ส่งผลต่อพัฒนาการอย่างชัดเจน ปัจจัยเหล่านี้ล้วนลดทอนโอกาสของเด็กในการเข้าถึงการดูแลและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ รัฐบาลจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการลงทุนในช่วงวัยนี้ เพราะตระหนักดีว่าคือการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและยั่งยืนที่สุด
สาระสำคัญของนโยบายดังกล่าวอยู่ที่การสร้างสมดุลระหว่าง “การเร่ง” “การลด” และ “การเพิ่ม” ในสามมิติที่เกื้อหนุนกัน มุ่งเน้นการดูแล สนับสนุน และกระตุ้นให้เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการที่ดีรอบด้าน ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เพื่อยกระดับคุณภาพของเด็กปฐมวัยไทย โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. เร่งกำหนด “การฟื้นฟูเด็กปฐมวัย” เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อนำมาซึ่งความพร้อมเพียงในการขับเคลื่อนทั้งระบบอย่างแท้จริง เกิดระบบ กลไก และแผนงานเร่งด่วนที่ทุกฝ่ายร่วมกันผลักดัน มีงบประมาณสนับสนุนตามแผนงาน และระดมทรัพยากรจากกลไกสังคมอื่น ๆ มาสนับสนุนการพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้เกิดผลที่เห็นได้ชัดเจนในระยะเวลาที่ไม่อาจรอช้าได้
2. เร่งให้ความรู้ความเข้าใจในการฟื้นฟูแก่ผู้ปกครอง ครู และสังคมให้ครอบคลุมทั่วถึง ผ่านทุกช่องทางที่เป็นไปได้ ภาครัฐและทุกภาคส่วนต้องถือเป็นภารกิจสำคัญในการถ่ายทอดข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กเล็ก พร้อมทั้งเร่งเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร (Capacity Building) โดยเฉพาะครูปฐมวัย ให้ได้มีโอกาสเรียนรู้และปรับเปลี่ยนทัศนคติ ความรู้ และทักษะ เพื่อรองรับการดูแลเด็กจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบ และสามารถสร้างความสุขในการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการเสริมพัฒนาการที่สมวัย
3. เร่งค้นหา เยียวยา และพัฒนาเด็กในภาวะเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดอย่างจริงจังในระดับพื้นที่ โดยใช้เครื่องมือคัดกรองจากภาควิชาการที่พร้อมนำไปใช้ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือได้ตรงปัญหา ทันการณ์ และเกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อการฟื้นฟูพัฒนาการ ทั้งยังช่วยลดจำนวนเด็กที่จะมีปัญหาพฤติกรรมและตัดวงจรปัญหาที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องในชีวิตของเด็กในระยะยาว
1. ลดการใช้สื่อจอใสในเด็กปฐมวัยอย่างจริงจัง โดยรณรงค์ให้ความรู้แก่พ่อแม่ผู้ปกครอง ครู บุคลากรทุกฝ่าย และสังคมอย่างชัดเจนว่า การยื่นมือถือหรือสื่อจอใสแก่เด็กเล็กเป็นอันตรายร้ายแรงต่อพัฒนาการของเด็กทุกด้าน โดยเฉพาะการทำงานของสมองที่อาจเสียหายทั้งระยะสั้นและระยะยาว จึงควรกำหนดชัดเจนว่าเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีไม่ควรได้รับมือถือหรือแท็บเล็ตโดยเด็ดขาด ส่วนเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไปควรได้รับอนุญาตให้เล่นอย่างมีเงื่อนไข ภายใต้การดูแลของผู้ปกครอง และจำกัดเวลาให้เหมาะสมกับวัย
2. ลดความเครียดและคืนความสุขแก่เด็กปฐมวัย ภายหลังสถานการณ์โควิดที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อชีวิตเด็ก เด็กควรได้รับการดูแลในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความสุข ไม่ถูกเร่งเร้าให้เรียนเขียนอ่านเกินวัยหรือยัดเยียดเนื้อหาเกินกำลัง แต่ควรได้รับโอกาสทำกิจกรรมหลากหลาย สนุกกับการเล่น และมีเวลาที่เพียงพอกับเพื่อน เมื่อเด็กมีความสุข ก็จะมีความพร้อมสำหรับการเรียนรู้ในระดับต่อไป
3. ลดการใช้ความรุนแรงกับเด็กปฐมวัย โดยรณรงค์ให้ตระหนักว่าการใช้ความรุนแรงไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กได้จริง หากแต่สร้างบาดแผลทางจิตใจที่ส่งผลต่อพัฒนาการในระยะยาว การฝึกใช้ “วินัยเชิงบวก” จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการสร้างวินัยและปรับพฤติกรรมของเด็กในเชิงสร้างสรรค์
1. เพิ่มกิจกรรมฟื้นฟูพัฒนาการที่สูญเสียไป ครอบครัวและโรงเรียนต้องร่วมกันมุ่งเน้นการฟื้นฟูศักยภาพทุกด้านของเด็กตามหลักการปฐมวัย โดยเฉพาะกิจกรรมทางกาย เช่น การเคลื่อนไหวร่างกาย ดนตรีและการเคลื่อนไหว การเล่นกลางแจ้ง การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก การออกกำลังกาย และการเล่นกีฬา ขณะเดียวกันควรเพิ่มการอ่านนิทานและเล่าเรื่องให้เด็กฟัง เพื่อกระตุ้นพัฒนาการด้านภาษา ทักษะสมองส่วนหน้า (EF) จินตนาการ และความสุข รวมถึงเพิ่มการเล่นอิสระที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ฝึกคิด ฝึกลงมือทำ เล่นกับเพื่อนเพื่อสร้างทักษะทางสังคม และเล่นในธรรมชาติเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการอย่างสมดุล
2. เพิ่มสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า พร้อมทั้งเพิ่มทรัพยากรที่จำเป็นต่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นของเล่นหรือหนังสือเด็กที่เพียงพอ โดยในแต่ละครอบครัวควรมีหนังสือสำหรับเด็กไม่น้อยกว่า 3 เล่ม นอกจากนี้ สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรียนอนุบาล และชุมชนก็ควรมีการจัดหาของเล่นและหนังสือเพิ่มเติม เพื่อให้เด็กได้ใช้ประโยชน์อย่างเท่าเทียม รวมถึงการเพิ่มพื้นที่เล่น พื้นที่สีเขียว และพื้นที่สำหรับครอบครัวในชุมชน เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความสุขและเสริมสร้างความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและชุมชน
3. เพิ่มศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน และกลไกระดับพื้นที่ เช่น อนุกรรมการปฐมวัยจังหวัด ให้สามารถจัดการสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับเด็ก เสริมสร้างพลังให้แก่ครอบครัว ขยายสวัสดิการและเงินอุดหนุนถ้วนหน้า ตลอดจนพัฒนาสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยและสร้างเครือข่ายชุมชนที่แข็งแรง เพื่อร่วมกันเป็นระบบนิเวศที่เอื้อต่อการฟื้นฟูและการเติบโตของเด็กปฐมวัย
เมื่อพิจารณาโดยรวม นโยบาย “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม” จึงมิได้เป็นเพียงแผนงานเชิงโครงสร้าง แต่ยังเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐไทยที่ต้องการวางรากฐานอนาคตของชาติผ่านการลงทุนในช่วงวัยที่สำคัญที่สุดของชีวิต นโยบายนี้หากถูกขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องและมีการบูรณาการทุกภาคส่วนเข้ามามีบทบาท ย่อมสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตเด็กไทยให้เติบโตอย่างสมวัย มีความสุข และมีศักยภาพในการเป็นกำลังสำคัญของประเทศต่อไป
แม้นโยบายดังกล่าวจะมีทิศทางที่ชัดเจน แต่การนำไปปฏิบัติจริงกลับต้องเผชิญความท้าทายหลายประการ ประเด็นแรกคือการลงทุนด้านมนุษย์ที่ยังได้รับการจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอ ทั้งที่งานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่าการลงทุนในช่วงปฐมวัยมีความคุ้มค่าสูงสุด ประเด็นต่อมาคือปัญหาเด็กนอกระบบการศึกษาที่มีมากกว่าหนึ่งล้านคน โดยเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์และเด็กไร้สัญชาติที่ยังไม่ได้รับโอกาสเท่าเทียม ซึ่งปัญหานี้เชื่อมโยงโดยตรงกับเรื่องสิทธิและความเป็นพลเมือง
อีกหนึ่งโจทย์สำคัญคือการรับมือกับผลกระทบจากเทคโนโลยีดิจิทัล เด็กเล็กจำนวนมากในปัจจุบันใช้สื่อหน้าจอเป็นเวลานาน ส่งผลต่อสมอง สมาธิ และพัฒนาการทางสังคมอย่างมีนัยสำคัญ ผลการศึกษาในระดับสากลชี้ชัดว่าการรับสื่อมากเกินไปอาจก่อให้เกิดภาวะคล้ายสมาธิสั้น และบั่นทอนทักษะการคิดวิเคราะห์ในระยะยาว เมื่อผนวกกับความเสี่ยงจากข่าวปลอมและการใช้ AI โดยไร้การกำกับดูแล จึงทำให้เด็กปฐมวัยต้องเผชิญกับความเปราะบางทางจิตใจมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความคืบหน้าในการขับเคลื่อนนโยบาย “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม” คือการบูรณาการของหลายภาคส่วนที่เข้ามามีบทบาทร่วมกันอย่างจริงจัง แต่ละหน่วยงานได้พัฒนาแนวทางปฏิบัติ โครงการ และกิจกรรมที่สอดคล้องกับนโยบาย เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและสามารถนำไปต่อยอดได้ในระดับพื้นที่
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยโรงเรียนอนุบาลสามเสน ได้นำเสนอแนวคิดการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ผ่านโครงการ “หนูน้อยปฐมวัย สนุกคิด สนุกอ่าน สนุกเล่นด้วยสื่อวัสดุสร้างสรรค์” โครงการนี้ใช้ชุดนิทานเป็นตัวกระตุ้นจินตนาการและการเรียนรู้ของเด็ก โดยมีครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเล่นที่เป็นอิสระ ส่งเสริมให้เด็กได้ฝึกคิดเชิงวิเคราะห์ แก้ปัญหา และตัดสินใจด้วยตนเองผ่านการใช้วัสดุธรรมชาติและวัสดุเหลือใช้ เป็นตัวอย่างที่สะท้อนการใช้ทรัพยากรใกล้ตัวมาสนับสนุนพัฒนาการเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ได้พัฒนารูปแบบการนิเทศเชิงพื้นที่สำหรับเด็กปฐมวัย โดยอาศัยกลไกคณะอนุกรรมการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยจังหวัดมหาสารคาม ภายใต้วิสัยทัศน์ “ตักศิลานครเป็นหนึ่ง” ที่มุ่งเน้นการสร้างพลเมืองคุณภาพควบคู่คุณธรรม จุดเด่นของแนวทางนี้คือการใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์และงานวิจัยมาสนับสนุนการออกแบบและพัฒนา ส่งผลให้สามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่น ๆ ได้อย่างเป็นระบบ
โดยโรงเรียนอนุบาลชนันนันท์ ได้จัดกิจกรรม “ข้าวมหัศจรรย์” ซึ่งเป็นตัวอย่างของการเรียนรู้ผ่านการเล่น (Play-based Learning) เด็กได้รับโอกาสลงมือทำนาจริง เรียนรู้การปลูกข้าว การปรุงอาหาร และวิถีชีวิตของชาวนา พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ให้ผู้ปกครองและวิทยากรในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการถ่ายทอดความรู้ วิธีการเรียนรู้ดังกล่าวช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะทั้งด้านร่างกาย สังคม และอารมณ์ไปพร้อมกัน
ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ได้ริเริ่มแนวทาง “5 กิจกรรมหลัก” อันประกอบด้วย การกิน การนอน การกอด การเล่น และการอ่าน โดยเฉพาะกิจกรรมการอ่านหนังสือกับบุตรหลานวันละ 5–15 นาที ที่ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาและความสัมพันธ์ในครอบครัว
ได้จัดทำคู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องมือให้แก่พ่อแม่และผู้ดูแลเด็ก ใช้ในการคัดกรองและเฝ้าระวังพัฒนาการใน 5 ด้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดูแลเด็กเป็นไปตามมาตรฐานและสามารถแก้ไขความบกพร่องได้ทันท่วงที
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จัดทำงานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาชุดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมและฟื้นฟูทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ของเด็กปฐมวัย” ตามแนวคิด Loose Parts Play ของ Simon Nicholson (Nicholson, 1971) ที่เชื่อว่าสิ่งแวดล้อมที่มีวัสดุธรรมชาติและของใช้ประจำวันที่หลากหลายจะกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้เด็กทดลองและสร้างสิ่งใหม่อย่างอิสระ โดยการเล่น Loose Parts Play นี้จะช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาทักษะการแก้ปัญหา ส่งเสริมการวางแผนและการตัดสินใจ พัฒนาทักษะการทำงานร่วมกัน และสร้างความมั่นใจในตนเอง
ยังได้ดำเนินโครงการ “366 Kick Kid” ที่มุ่งพัฒนาศักยภาพของครูและบุคลากรในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ให้มีความสามารถในการยกระดับคุณภาพการดูแลเด็กตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ โครงการนี้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะสมองส่วนหน้า (Executive Functions: EF) รวมทั้งการส่งเสริมโภชนาการและสุขภาพช่องปากของเด็กเล็กไปพร้อมกัน
ได้ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาครูต้นแบบในระดับปฐมวัย ภายใต้แนวทาง “บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย” โดยเน้นให้เด็กเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง การสังเกต ทดลอง และสำรวจสิ่งรอบตัว กระบวนการนี้เป็นกุญแจสำคัญในการลดช่องว่างการเรียนรู้ โดยเฉพาะเด็กเล็กช่วงอายุ 0–3 ปีที่ผู้ปกครองต้องออกไปทำงาน
ในเชิงนโยบายระดับชาติ ยังมี “โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด” ที่จัดสรรเงินเดือนละ 600 บาทให้แก่เด็กในครัวเรือนยากจนหรือครัวเรือนที่มีความเสี่ยงต่อความยากจน โครงการนี้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและเป็นกลไกคุ้มครองทางสังคมที่สำคัญ เพื่อให้เด็กทุกคนมีโอกาสได้รับการดูแลและพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย
ในระดับวิชาการ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้พัฒนา “สวนเด็กสุทธาเวช” เพื่อเป็นพื้นที่บ่มเพาะพัฒนาการเด็กเล็กตั้งแต่ก่อนคลอดจนถึงอายุ 3 ปี โครงการนี้มุ่งเน้นคุณลักษณะที่พึงประสงค์ 8 ด้าน และให้ความสำคัญกับการจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ การอบรมครูให้มีทักษะการเลี้ยงดูที่ตอบสนองความต้องการของเด็ก ตลอดจนการออกแบบพื้นที่ที่สอดคล้องกับแนวคิดของยูนิเซฟและยูเนสโก
โดยภาพรวม การดำเนินงานของหน่วยงานภาคีต่าง ๆ สามารถสะท้อนให้เห็นการบูรณาการของนโยบาย “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม” ได้อย่างชัดเจน โรงเรียนอนุบาลสามเสนและโรงเรียนอนุบาลชนันนันท์เน้นการ “เร่ง” เสริมสร้างการเรียนรู้ผ่านการเล่นเชิงสร้างสรรค์ ขณะที่สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการแสดงให้เห็นถึงการ “เพิ่ม” ศักยภาพกลไกระดับพื้นที่ในการนิเทศและกำกับดูแลคุณภาพ ส่วนแผนงานยุทธศาสตร์สร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านและโครงการของ กสศ. ต่างชี้ให้เห็นถึงการ “เพิ่ม” กิจกรรมและการเล่นที่มีคุณภาพเพื่อเสริมทักษะชีวิต ด้านกรมอนามัยและโครงการ 366 Kick Kid ของ สสส. เป็นตัวอย่างการ “เร่ง” การฟื้นฟูและ “เพิ่ม” เครื่องมือมาตรฐานเพื่อสนับสนุนการดูแลเด็กในเชิงระบบ ยูนิเซฟและกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นสะท้อนการ “เร่ง” การพัฒนาครูต้นแบบและการเรียนรู้เชิงทดลองเพื่อปิดช่องว่างพัฒนาการ ขณะที่โครงการเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดและสวนเด็กสุทธาเวชต่างมีบทบาทสำคัญในการ “เพิ่ม” สวัสดิการและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของเด็กโดยตรง การดำเนินงานเหล่านี้เมื่อพิจารณาร่วมกัน จึงไม่เพียงแต่เป็นโครงการที่กระจัดกระจาย หากแต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงระบบนิเวศการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่เชื่อมโยงกับเจตนารมณ์หลักของนโยบายในทุกมิติ
นโยบาย “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม” ไม่ได้เป็นเพียงกรอบเชิงนโยบาย หากแต่เป็นกลไกสำคัญที่กำหนดทิศทางการลงทุนในอนาคตของชาติ การสร้างรากฐานที่มั่นคงให้แก่เด็กเล็กในวันนี้คือการลงทุนที่คุ้มค่าและมีศักยภาพสูงสุดในการสร้างสังคมที่มีคุณภาพ ความสำเร็จของนโยบายนี้ขึ้นอยู่กับการดำเนินการที่ต่อเนื่องจริงจังและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน หากประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เด็กไทยจะเติบโตอย่างสมวัย มีความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ และพร้อมที่จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน
เชื่อในพลังของการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ สนใจสำรวจเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คน วิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะรากเหง้าอีสาน ชื่นชอบการเดินทางเพื่อเปิดโลกใหม่ ๆ และชอบคลายเครียดด้วยทำอาหาร