Pulse
ชีพจรสังคม
“จมน้ำ” สาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของเด็กไทยในช่วงปิดเทอมอุบัติภัยที่ผู้ปกครองต้องระวัง
ช่วงเวลาปิดเทอม… สำหรับเด็กหลายคน มันคือ “อิสระที่รอคอย”
เสียงหัวเราะในบ่ายวันว่าง การตื่นสายโดยไม่ต้องกลัวสายเรียน การได้ดูการ์ตูนเรื่องโปรด หรือวิ่งเล่นกับเพื่อนในละแวกบ้าน ล้วนเป็นภาพที่อบอวลไปด้วยความสุขและความไร้เดียงสา เดือนตุลาคม มีนาคม และเมษายน จึงกลายเป็นช่วงเวลาแห่งการพักหายใจจากความเคร่งเครียดของโรงเรียน เป็นโอกาสให้เด็ก ๆ ได้ชาร์จพลัง เรียนรู้จากโลกนอกห้องเรียน และใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น
แต่ในอีกด้านหนึ่ง — “อิสระที่ไร้ขอบเขต” ก็อาจกลายเป็นความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพราะในทุกปี ช่วงปิดเทอมคือช่วงเวลาที่เด็กไทยเสียชีวิตจาก “การจมน้ำ” มากที่สุด
ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคชี้ว่า เพียงเดือนตุลาคมเดือนเดียว มีเด็กเสียชีวิตจากการจมน้ำเฉลี่ย 65 ราย โดยเกือบทั้งหมดเป็นเด็กวัยเรียน 5–14 ปี สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการชวนกันไปเล่นน้ำโดยไม่มีผู้ใหญ่ดูแล หรือพลัดตกน้ำในขณะวิ่งเล่นใกล้แหล่งน้ำที่ดู “ปลอดภัย” สำหรับเด็ก แต่แท้จริงแล้วอันตรายกว่าที่คิด
ทุกเสียงหัวเราะริมคลอง… ทุกบ่อเล็ก ๆ หลังบ้าน หรือแอ่งน้ำที่ชวนให้ลงไปลุย กลับอาจกลายเป็นฉากโศกนาฏกรรมที่พรากเด็กคนหนึ่งไปจากครอบครัวตลอดกาล หากผู้ใหญ่ละสายตาเพียงเสี้ยววินาที
สาเหตุการจมน้ำของเด็กไทยในทุกช่วงเวลา
- เด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 5 ปี): มักจมน้ำในแหล่งน้ำภายในบ้าน เช่น ถังน้ำ กะละมัง บ่อน้ำ แอ่งน้ำ เนื่องจากทรงตัวไม่ดีและพลัดตกลงไปได้ง่าย ในจังหวะที่ผู้ใหญ่เผอเรอแม้เพียงครู่เดียว
- เด็กโต (อายุ 5-14 ปี): เสี่ยงจมน้ำจากการเข้าใกล้แหล่งน้ำทุกประเภท เช่น แม่น้ำ คลอง บึง หรือแหล่งน้ำขุดเพื่อการเกษตรที่อยู่ใกล้บ้านเพียงลำพัง หรือไปกับเพื่อนวัยเดียวกันโดยไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย
- การขาดการเฝ้าระวังจากผู้ใหญ่รอบตัวเด็ก: ถึงเด็กจะหยุดเรียนแต่พ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่ได้หยุดทำมาหากิน ในบางครอบครัวจึงเกิดช่องว่างในการเฝ้าระวัง ปล่อยให้เด็กอยู่ใกล้แหล่งน้ำโดยไม่มีผู้ดูแล
- เด็กไม่รู้ความเสี่ยงและการป้องกันตนเองที่ถูกวิธี: เด็กส่วนใหญ่ที่จมน้ำมักไม่รู้เรื่องความเสี่ยง เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ที่ต้องสอนให้เด็กเรียนรู้เรื่องความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยให้เกิดความระมัดระวังตนเองมากขึ้น เช่น หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้แหล่งน้ำ ไปเล่นน้ำในช่วงเวลาที่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย รู้จักอุปกรณ์ช่วยให้ลอยตัว มีทักษะในการลอยตัวหรือเคลื่อนตัวในน้ำเพื่อเอาตัวรอดได้ และมีทักษะในการช่วยเหลือคนจมน้ำโดยไม่เอาตัวเองลงไปเสี่ยงในน้ำได้
ผู้ใหญ่จะเฝ้าระวังเรื่องการจมน้ำของเด็กได้อย่างไร?
- มีแผนการดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด
- ในเด็กเล็กต่ำกว่า 5 ปี เด็ก ๆ ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในระยะมือคว้าถึงตัว เด็กจะต้องอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่อยู่เสมอ เพราะเด็กในวัยนี้ยังไม่สามารถเข้าใจความเสี่ยงอย่างเป็นรูปธรรม
- ในเด็กโต ผู้ใหญ่ควรอยู่ในระยะที่สายตามองเห็น หรือรู้ตำแหน่งที่เด็กอยู่อย่างชัดเจน และสามารถติดต่อกับเด็กหรือคนใกล้ตัวเด็กได้ตลอดเวลา
- จัดการสิ่งแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัยจากการจมน้ำ โดยเฉพาะในบ้านที่มีเด็กเล็กต่ำกว่า 5 ปี เช่น ปิดประตูห้องน้ำ มีฝาปิดภารชนะรองน้ำขนาดเล็กและใหญ่ กั้นรั้วรอบแหล่งน้ำใกล้บ้านป้องกันการพลัดตก เป็นต้น
- ชุมชนร่วมเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมเสี่ยง โดยเฉพาะแหล่งน้ำที่เข้าถึงง่ายในชุมชน ต้องมีการติดป้ายเตือนตามแหล่งน้ำในชุมชน มีผู้ใหญ่พลัดกันเฝ้าระวังใกล้แหล่งน้ำ ทำรั้วกั้นแหล่งน้ำลึกในชุมชน หรือใช้เสียงตามสายประสาสัมพันธ์เตือนในหมู่บ้าน เป็นต้น
- ให้ความรู้กับเด็ก ทั้งด้านความเสี่ยง ทักษะการป้องกันตัว และทักษะการช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุทางน้ำ
ความรู้สำคัญที่ผู้ใหญ่ต้องให้กับเด็ก
- ความเสี่ยง เด็ก ๆ ต้องเรียนรู้ความเสี่ยงที่ทำให้เกิดการจมน้ำ ได้แก่
- ด้านพฤติกรรม หลีกเลี่ยงการชักชวนกันไปเล่นน้ำในสถานที่ที่ไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วย เชื่อฟังป้ายเตือน และเลี่ยงการแกล้งกันใกล้แหล่งน้ำที่เสี่ยงต่อการพลัดตก เป็นต้น
- ด้านสิ่งแวดล้อม หลีกเลี่ยงแหล่งน้ำอันตราย แหล่งน้ำไหลเชี่ยวที่ทำให้หมดแรง หรือแหล่งน้ำที่ไม่รู้ความลึก
เมื่อต้องเดินทางทางน้ำ ควรสวมใส่เสื้อชูชีพทุกครั้งเพื่อป้องกันการจมน้ำ
- ทักษะการเอาตัวรอดทางน้ำ ควรสอนให้เด็กรู้จักวิธีลอยตัวหรือเคลื่อนตัวในน้ำ หรือให้เด็กไปเรียนว่ายน้ำในช่วงปิดเทอมเพื่อเพิ่มพูนทักษะนี้
- เด็ก ๆ ควรมีทักษะการลอยตัวในน้ำได้ด้วยตัวเองตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป อย่างน้อย 3 นาทีระหว่างรอการช่วยเหลือ
- เด็ก ๆ ควรมีทักษะในการพยุงตัวหรือเคลื่อนตัวในน้ำ เช่น ท่าลูกหมาตกน้ำ เพื่อพยุงตัวเองเข้าฝั่งได้อย่างปลอดภัย
- ทักษะการช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุทางน้ำ เมื่อพบเหตุจมน้ำ ให้เด็ก ๆ เลือกวิธีช่วยเหลือที่ถูกต้องแทนการลงไปช่วยในน้ำด้วยตัวเอง ดังนี้
- ตะโกน เรียกให้คนมาช่วยทันที หรือตั้งสติแล้วโทรแจ้งเบอร์สำคัญเพื่อขอความช่วยเหลือ เช่น 1669
- โยน มองหาสิ่งของลอยน้ำได้เพื่อช่วยคนกำลังจมน้ำพยุงตัวเองในน้ำได้เบื้องต้น เช่น ขวดน้ำพลาสติดเปล่า ถังแกลลอน รองเท้า หรือห่วงยาง ดีที่สุดคือผูกเชือกที่อุปกรณ์เหล่านี้เพื่อลากคนจมน้ำเข้าฝั่งได้
- ยื่น หาไม้หรือท่อที่มีขนาดยาวให้คนจมน้ำคว้า และต้องนั่งอยู่ในท่าที่มั่นคงป้องกันการถูกดึงตกน้ำไปด้วย
อุบัติภัยอื่น ๆ ในช่วงปิดเทอมที่ต้องระวัง
นอกจากเรื่องของการจมน้ำแล้ว ยังมีความเสี่ยงจากอุบัติภัยอื่น ๆ ที่พ่อแม่ควรเฝ้าระวังเช่นกัน
- เดินและข้ามถนน เด็กหลายคนมีอิสระที่จะออกไปเดินนอกบ้าน การเดินเท้าทั้งกลางวันและกลางคืนก็เสี่ยงจากอุบัติเหตุบนท้องถนนด้วยเช่นกัน เมื่อเด็กโตพอที่จะออกไปนอกบ้านเพียงลำพังได้ ต้องสอนให้เด็กมีทักษะเดินและข้ามถนนที่ปลอดภัย คือเดินให้ห่างจากถนนมากที่สุด เลือกข้ามถนนที่สะพานลอย ทางม้าลาย และมองหาผู้ใหญ่ช่วยพาข้าม ตามลำดับ
- ขับขี่มอเตอร์ไซค์ เด็กโตบางคนในต่างจังหวัดสามารถเข้าถึงการขับขี่มอเตอร์ไซค์ก่อนวัยอันควร แต่ในช่วงวัยนี้ยังไม่มีวุฒิภาวะที่ดีพอในการตัดสินใจ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดอาจทำให้ตกใจและเกิดการบาดเจ็บหรือตายได้บ่อยครั้ง ป้องกันเรื่องนี้ได้โดยอนุญาตให้เด็กเข้าถึงมอเตอร์ไซค์ได้เมื่ออายุ 15 ปีและมีใบขับขี่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และสวมหมวกกันน็อคทุกครั้งที่ขับขี่หรือโดยสารรถมอเตอร์ไซค์
/li>
- เด็กติดจอ การใช้จอมากเกินไปนอกจากจะมีผลต่อสายตาและสมาธิแล้ว ยังมีเรื่องภัยทางออนไลน์ที่ผู้ใหญ่ต้องเฝ้าระวัง ป้องกันได้โดยกำหนดช่วงเวลาใช้งาน ตรวจสอบการใช้งานอยู่เสมอ และสอนให้เด็กรู้จักความเสี่ยงและอันตรายจากการถูกล่อลวงทางออนไลน์
บทบาทของพ่อแม่หรือผู้ปกครองในช่วงปิดเทอม
- เฝ้าระวังความเสี่ยง เข้าใจว่าส่วนใหญ่เมื่อเด็กปิดเทอมแต่พ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่ได้หยุดอยู่กับลูกหลานด้วย แต่ควรมีผู้ใหญ่คอยอยู่กับเด็กอยู่ตลอดเวลาหรือให้ไปอยู่กับคนที่สามารถดูแลเด็กได้ อยู่ในสายตาหรือระยะที่มองเห็น หรือรับรู้ว่าอยู่ที่ไหนในทุกช่วงเวลา และสามารถติดต่อกับเด็กหรือคนใกล้ตัวได้เสมอ
- เน้นย้ำความเสี่ยงกับเด็กอยู่เสมอ คอยบอกเตือนความเสี่ยงอุบัติเหตุทุกประเภท โดยเฉพาะอุบัติเหตุทางน้ำ ทางถนน และภัยออนไลน์
- เพิ่มพูนทักษะเด็กในช่วงปิดเทอม ใช้โอกาสที่เด็กหยุดเรียนไปทำกิจกรรมที่เด็กสนใจ เช่น ไปเที่ยวกับครอบครัว เข้าค่าย เรียนพิเศษ ทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว หรือกิจกรรมฝึกทักษะที่จำเป็น เช่น เรียนว่ายน้ำ ศิลปะป้องกันตัว เป็นต้น
ช่วงปิดเทอม… ควรเป็น “เวลาของการเติบโต” ไม่ใช่ “ช่วงเวลาของการสูญเสีย”
อุบัติภัยทางน้ำเป็นเรื่องที่ป้องกันได้ หากครอบครัวและชุมชนร่วมกันใส่ใจตั้งแต่สิ่งเล็ก ๆ — การมองเห็นเด็กอยู่ในสายตา การสอนให้รู้จักความเสี่ยง การสร้างแหล่งน้ำปลอดภัยในหมู่บ้าน หรือการชวนกันเรียนว่ายน้ำเพื่อเอาตัวรอด
ในมุมของ the SPACE เราเชื่อว่าการป้องกันไม่ได้เริ่มต้นจากการติดป้ายเตือน แต่เริ่มจาก “ความตระหนักรู้ร่วมกัน” ของทุกคนในสังคม การสื่อสารที่เข้าใจง่าย เข้าถึงใจ และต่อเนื่อง คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้เด็ก ๆ เติบโตอย่างปลอดภัย
เพราะ “ความสุขของช่วงปิดเทอม” ไม่ควรถูกจำกัดด้วยความกลัว แต่ควรเกิดจากความร่วมมือของครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ที่ช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมให้เด็กได้เรียนรู้ เล่น และใช้ชีวิตอย่างอิสระ — บนพื้นฐานของความปลอดภัยและความรักที่รายล้อมอยู่รอบตัว.
มาร่วมสร้างช่วงปิดเทอมที่ปลอดภัยให้ลูกหลานของคุณ
เพิ่มพูนทักษะเพื่อเอาตัวรอดจากเสี่ยงรอบตัว และเติบโตบนสิ่งแวดล้อมที่ห่างไกลความเสี่ยง
และทำให้ทุกปิดเทอมเป็นช่วงเวลาที่เด็กและผู้ปกครองจะได้มีความสุขร่วมกัน
นักออกแบบที่ชอบคิด ชอบเล่น ชอบเที่ยว ชอบเรียนรู้ และชอบหาทำอะไร ๆ ที่สนุกอยู่ตลอดเวลา เพราะเชื่อว่าการเริ่มต้นด้วยความสนุกจะช่วยปลุกการเรียนรู้สิ่งรอบตัวได้เสมอ