Target

เรื่องราวของคน ที่ส่งผลต่อเรา

สิทธิที่รอการเห็นค่า: เส้นทางสู่ความเท่าเทียมทางการศึกษาของนิสิตไร้สัญชาติ


      "มีใครเคยสังเกตไหมว่า ในระบบการศึกษา โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา เรามักจะได้พบเจอเพื่อนจากหลากหลายภูมิหลัง เข้ามาเรียนและใช้ชีวิตร่วมกัน แต่เคยมีใครสงสัยไหมว่า...เพื่อนที่นั่งข้าง ๆ เรานั้น ต้องเผชิญกับอุปสรรคอะไรบ้างกว่าจะได้มีโอกาสเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย? ภายใต้ภาพลักษณ์ของนักศึกษาที่ดูคล้ายกัน พวกเขาบางคนอาจต้องเผชิญกับเส้นทางที่ยากลำบาก ไม่ใช่แค่เรื่องการเรียน แต่เป็นเรื่อง 'สถานะ' ของพวกเขาเอง..."

       การเข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษาดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน แต่ความเป็นจริงอาจซับซ้อนกว่านั้น โดยเฉพาะสำหรับ "นิสิตไร้สัญชาติ" ซึ่งแม้พวกเขาจะเกิดและเติบโตในประเทศไทย เรียนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานจากโรงเรียนไทย แต่กลับต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายที่นิสิตทั่วไปไม่เคยพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิในการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา ค่าธรรมเนียมที่สูงเกินกว่าที่จะรับไหว หรือแม้กระทั่งการทำงานพาร์ทไทม์เพื่อแบ่งเบาภาระทางบ้าน

      ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก หากไม่ได้รับการแก้ไข ย่อมส่งผลต่อโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของพวกเขา และท้ายที่สุด...สังคมของเราก็จะสูญเสียบุคลากรที่มีศักยภาพไปโดยปริยาย เรื่องราวของ "นิสิตไร้สัญชาติ" ในมหาวิทยาลัยบูรพาที่กำลังจะเล่านี้ เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า การเปลี่ยนแปลงเพื่อความเท่าเทียมทางการศึกษาไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันผลักดัน เพราะการเข้าถึงการศึกษาที่เท่าเทียมไม่ได้หมายถึงแค่การได้เข้าห้องเรียนเท่านั้น แต่คือการที่ทุกคนมีโอกาสเรียนรู้และเติบโตโดยไม่มีข้อจำกัดทางสถานะมาขวางกั้น

      เมื่อปีการศึกษา 2566 นิสิตไร้สัญชาติ 3 คนได้สอบผ่านระบบ TCAS และได้รับการตอบรับเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยบูรพา แต่ปัญหาที่ตามมาคือ พวกเขาถูกจัดประเภทให้เป็น "นิสิตต่างชาติ" ซึ่งต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษาสูงถึง 34,000 บาทต่อเทอม สูงกว่าค่าธรรมเนียมปกติของนิสิตไทยถึงสองเท่า สิ่งนี้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่เกินกว่าความสามารถของนิสิตและครอบครัวจะรับไหว จนนำไปสู่การร้องเรียนและการผลักดันเพื่อแก้ไขปัญหา...


      เนื้อหาที่จะเล่าต่อจากนี้ คือกระบวนการผลักดัน การร่วมมือ และการต่อสู้ของนิสิตไร้สัญชาติและเครือข่ายต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายของมหาวิทยาลัย จนนำไปสู่ความเท่าเทียมในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการศึกษาสำหรับนิสิตไร้สัญชาติ การเดินทางครั้งนี้ยาวนานถึง 11 เดือน และไม่ใช่แค่เรื่องของการศึกษาเท่านั้น แต่คือเรื่องของ 'ความยุติธรรม' และ 'สิทธิมนุษยชน' ที่ทุกคนควรได้รับ..."

      ในแต่ละปีการศึกษา จำนวนของนิสิตไร้สัญชาติที่เข้ามาศึกษาที่มหาวิทยาลัยบูรพา มีจำนวนเพียงหลักหน่วย การผลักดันในครั้งนี้เริ่มต้นในปีการศึกษา พ.ศ. 2566 ได้มีนิสิตไร้สัญชาติสอบผ่านเข้ามาในระบบการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา (TCAS) เป็นผู้หญิง 2 คน และผู้ชาย 1 คน รวมจำนวน 3 คน โดยมหาวิทยาลัยได้ระบุสถานภาพ ว่า “ไม่มีสถานะทางทะเบียน”

      ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น คือ ตามความเข้าใจของผู้ปฏิบัติงานของมหาวิทยาลัย คำว่า นิสิตไทย คือ นิสิตที่มีสัญชาติไทย หากไม่ใช่สัญชาติไทย คือ นิสิตต่างชาติ ซึ่งตามระเบียบมหาวิทยาลัยบูรพาว่าด้วย การเก็บเงินค่าบำรุงและค่าธรรมเนียมการศึกษาแบบเหมาจ่าย ระดับปริญญาตรี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ พ.ศ. 2563 ตามข้อ 6 วรรค 2 “สำหรับกรณีบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัยที่เป็นคนต่างชาติ ให้ชำระค่าบำรุงมหาวิทยาลัยเพิ่มเติมสำหรับนิสิตต่างชาติ ภาคต้นและภาคปลาย ภาคการศึกษาละ 20,000 บาท ส่วนภาคฤดูร้อน ภาคการศึกษาละ 10,000 บาท” ดังนั้น การเป็นนิสิตที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน เทียบเท่ากับ นิสิตต่างชาติ จึงทำให้นิสิตทั้ง 3 คน จะต้องจ่ายเงินเพิ่ม 20,000 บาทต่อเทอม สำหรับนิสิตหญิงหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาการจัดการบริการสังคม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ จากค่าธรรมเนียมของหลักสูตรคือ 14,000 บาท แต่นิสิตจะต้องจ่ายจำนวน 34,000 บาท ซึ่งเกินความคาดหมายและความสามารถของนิสิตทั้งสอง ดังนั้น นิสิตจึงได้ร้องเรียนมายังภาควิชาสังคมวิทยา ซึ่งเมื่อภาควิชาฯ ได้ตรวจสอบข้อมูลแล้ว เห็นว่า การเป็นนิสิตไร้สัญชาติ และ นิสิตต่างชาติ มีความหมายที่แตกต่างกัน

      ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2567 ภาควิชาฯ จึงได้บันทึกข้อความขอรับการยกเว้นค่าบำรุงมหาวิทยาลัยเพิ่มเติมสำหรับนิสิตต่างชาติ โดยเหตุผลสำคัญ คือ 1) นิสิตหญิงทั้งสอง มิใช่ “นิสิตต่างชาติ” เนื่องจากนิสิตเกิดที่สถานพยาบาลของประเทศไทย อาศัยในประเทศไทยมาโดยตลอดตั้งแต่กำเนิด และสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานตั้งแต่ระดับอนุบาลศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลายจากสถาบันการศึกษาของรัฐไทย 2) ครอบครัวของนิสิตมีความยากลำบากทางเศรษฐกิจ และ 3) นิสิตต้องประสบกับการไม่ได้รับสิทธิ์หลายประการ เช่น ไม่มีสิทธิ์กู้เงินกองทุนกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา เป็นต้น คณะฯ ไม่สามารถตัดสินใจได้ จึงส่งเรื่องไปยังมหาวิทยาลัย เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการจัดประเภทนิสิต และหากนิสิตดังกล่าวไม่ใช่นิสิตไทย จะมีแนวทางในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ ทั้งนี้ในการทำบันทึกถึงมหาวิทยาลัย ทางภาควิชาฯ ได้มีการรวบรวมข้อมูลพบว่า มหาวิทยาลัยบางแห่งได้กำหนดให้นิสิตไร้สัญชาติเสียค่าธรรมเนียมการศึกษาเท่ากับนิสิตไทย ได้แก่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณี เป็นต้น

      เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567 กองกฎหมาย มหาวิทยาลัย ได้พิจารณาข้อมูลแล้วเห็นว่าตามระเบียบมหาวิทยาลัยว่าด้วยการเก็บเงินค่าบำรุงและค่าธรรมเนียมการศึกษา แบบเหมาจ่าย ระดับปริญญาตรี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๖๓ ได้กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการศึกษาออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ นิสิตไทยและนิสิตต่างชาติ โดยระเบียบดังกล่าวไม่ได้กำหนดนิยามนิสิตแต่ละประเภทไว้เฉพาะ แต่ตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยบูรพาว่าด้วยการศึกษาระดับปริญญาตรี พ.ศ. ๒๕๖๕ ได้กำหนดลักษณะนิสิตต่างชาติไว้ว่า บุคคลต่างชาติที่ไม่ได้มีสัญชาติไทยหรือบุคคลที่สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ ซึ่งคำว่า “บุคคลต่างชาติที่ไม่ได้มีสัญชาติไทย” หมายความถึง บุคคลที่ได้รับการบันทึกในสถานะทางทะเบียนว่า เป็นผู้มีสัญชาติใดสัญชาติหนึ่ง แต่ไม่หมายความรวมถึง นิสิตที่มีสถานะทางทะเบียนเป็นบุคคลไร้สัญชาติด้วยแต่อย่างใด กองกฎหมายได้มีการทบทวนข้อบังคับ ประกาศ หรือหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงมหาดไทย จึงเห็นได้ว่า ไม่สามารถจำแนกนิสิตทั้งสองรายเป็นนิสิตไทยหรือ นิสิตต่างชาติได้ และจากการตรวจสอบข้อมูลการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการศึกษาของมหาวิทยาลัยอื่นพบว่ามีการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการศึกษาไว้โดยชัดเจนสำหรับนิสิตไร้สัญชาติ ดังนั้น จึงเสนอให้คณะฯ ทบทวนข้อบังคับ ประกาศ หรือ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุมนิสิตไร้สัญชาติ

      คณะฯ จึงได้มีการจัดทำระเบียบใหม่ผ่านระดับคณะ ไปสู่มหาวิทยาลัย จนในที่สุด มหาวิทยาลัยบูรพา ได้มีระเบียบมหาวิทยาลัยบูรพา ว่าด้วยการเก็บเงินค่าบำรุงและค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าใช้จ่ายอื่นใดที่เกี่ยวกับการศึกษา สำหรับนิสิตไร้สัญชาติ พ.ศ.2567 ลงวันที่ 22 มกราคม พ.ศ 2567 โดย ข้อ 3 ได้ระบุว่า นิสิตไร้สัญชาติ หมายถึง นิสิตของมหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนตามระเบียบสำนักทะเบียนกลาง ว่าด้วยการจัดทำทะเบียนประวัติสำหรับบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน และอาศัยอยู่ในประเทศไทย และ ข้อ 4 ให้เรียกเก็บค่าบำรุงและค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าใช้จ่ายอื่นใดที่เกี่ยวกับการศึกษาระดับปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษาในอัตราเดียวกับนิสิตไทย ซึ่งถือว่า เป็นการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนานโนบายที่เอื้อให้เกิดความเท่าเทียมกันทางการศึกษา (SDG4) การเพิ่มบทบาทของสตรี (SDG5) และการลดความไม่เสมอภาคภายในประเทศ (SDG10) และในที่สุดการผลักดันเพื่อความเท่าเทียมนี้ก็สำเร็จสมบูรณ์ภายใน ต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 รวมเป็น 11 เดือนของการต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมแห่งความเท่าเทียม

      ปัจจัยของความสำเร็จในครั้งนี้ คือ การตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาของนิสิตไร้สัญชาติ และการทำงานเป็นทีม ทั้งนิสิต ภาควิชา คณะฯ และมหาวิทยาลัย รวมทั้งเครือข่ายมหาวิทยาลัยอื่น ได้แก่ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณี เพจเพื่อคนไร้รัฐ ไร้สัญชาติ และ ชมรมนักศึกษาเพื่อสิทธิคนไร้สัญชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การผลักดันเพื่อความเท่าเทียมของค่าธรรมเนียมการศึกษาระดับอุดมศึกษาของนิสิตไร้สัญชาติครั้งนี้เป็นเพียงเรื่องหนึ่งที่ดำเนินการ แต่ความท้าทายด้านสิทธิมนุษยชนมีเรื่องอื่น เช่น ทุนการศึกษา ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะมีการกำหนดให้เฉพาะสัญชาติไทย การทำงาน part time ที่ต้อง มีบัตรประชาชน เป็นต้น


       สิทธิเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากส่งผลต่ออนาคตและศักยภาพของบุคคลในสังคม การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมจะช่วยสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับนิสิตไร้สัญชาติ และนำไปสู่วิสัยทัศน์ของสังคมที่มีความเสมอภาคและยั่งยืนในอนาคต






ดร.สุภัสตรา เก้าประดิษฐ์ ทรัพย์ชูกุล (Lisa 500) <br>รองคณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

คุณแม่ของลูกสาว Gen Z นัก Foodie ชิมและแชร์ ชอบเมาท์เป็น Movie reviewer แต่ขอเป็นส่วนหนึ่งให้โลกนี้น่าอยู่และยั่งยืน