Pulse

ชีพจรสังคม

เมื่อที่ดินกลายเป็นประเด็นความยุติธรรม: ถอดรหัสปัญหาที่ดินไทยผ่านประวัติศาสตร์ อำนาจรัฐ และพลังประชาชน


โครงสร้างซับซ้อนของปัญหาที่ดิน: ความเหลื่อมล้ำที่ฝังลึก

      การบริหารจัดการที่ดินในประเทศไทยเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อน และสะท้อนถึงโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างชัดเจน ปัจจัยสำคัญของปัญหานี้ ได้แก่ การกระจุกตัวของการถือครองที่ดินในกลุ่มชนชั้นนำ ความซ้ำซ้อนของกฎหมายและหน่วยงานที่กำกับดูแล และความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชน (สมัชชาคนจน, ม.ป.ป., น.11) การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐมักส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มเกษตรกรรายย่อยและกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีประวัติการอยู่อาศัยในพื้นที่ดั้งเดิมมาหลายชั่วอายุคน โดยเฉพาะในรูปแบบของการเวนคืนและการขับไล่



จากรัชกาลที่ 5 ถึงยุค คสช.: พัฒนาการของปัญหาที่ดินในสังคมไทย

      ก่อนปี พ.ศ. 2475 ระบบกรรมสิทธิ์ที่ดินในประเทศไทยยังอยู่ภายใต้การควบคุมของกษัตริย์และชนชั้นนำ แม้ว่าจะมีความพยายามในการปฏิรูปที่ดินในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ที่ดินส่วนใหญ่ก็ยังคงอยู่ในมือของขุนนางและพ่อค้า (สมัชชาคนจน, ม.ป.ป., น.12) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยเข้าสู่ยุคการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการขยายพื้นที่เกษตรกรรมและอุตสาหกรรม แต่การออกเอกสารสิทธิ์กลับล่าช้าและไม่ทั่วถึง ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดิน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์จีนีของที่ดินสูงถึง 0.89 (ดวงมณี เลาวกุล, 2557, น.37-51)

      ในช่วงทศวรรษ 1960 รัฐบาลส่งเสริมการขยายพื้นที่เพาะปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิตและการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม แต่นโยบายดังกล่าวกลับยิ่งซ้ำเติมการกระจุกตัวของที่ดินในกลุ่มทุนและเอกชนมากขึ้น โดยระบบเอกสารสิทธิ์ที่ไม่ยืดหยุ่นทำให้เกษตรกรรายย่อยต้องสูญเสียที่ดินทำกินอย่างต่อเนื่อง (ผาสุก พงษ์ไพจิตร, 2567, น.45)



นโยบายรัฐ-อำนาจบังคับใช้-ประชาชน: เมื่อข้อพิพาทกลายเป็นรูปธรรม

      ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินยังนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงปี พ.ศ. 2557-2562 ที่มีการดำเนินคดีกับประชาชนกว่า 50,000 คดีจากข้อกล่าวหาการบุกรุกที่ดินป่าไม้ (คณะอนุกรรมการวิชาการและกฎหมาย คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาที่ดินและการออกเอกสารสิทธิในที่ดิน, 2565, น.89) ภายใต้คำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 และ 66/2557 รัฐใช้นโยบายทวงคืนผืนป่าโดยไม่ได้คำนึงถึงสิทธิของชุมชนดั้งเดิม ส่งผลให้ประชาชนสูญเสียสิทธิในที่ดินทำกิน ขณะเดียวกัน การกำหนดเขตป่าอนุรักษ์ในหลายพื้นที่ก็กลายเป็นจุดปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน (โอฬาร อ่องฬะ, 2562, น.5)



พลังการเคลื่อนไหวของประชาชน: จากการประท้วงสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง

      ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายที่ดินได้รวมตัวกันเป็นขบวนการเคลื่อนไหว เช่น สมัชชาคนจน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเรียกร้องสิทธิในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ (ประภาส ปิ่นตบแต่ง, 2541, น.68) การเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ถือเป็น Social Movement ที่ใช้ยุทธศาสตร์การประท้วง การเดินขบวน และการเจรจาเพื่อกดดันภาครัฐ (ประภาส ปิ่นตบแต่ง, 2552, น.20) Doug McAdam (1982) ได้เสนอโมเดลของการเคลื่อนไหวที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบด้วย 5 ประเภทของยุทธวิธี ได้แก่ 1) การปฏิเสธไม่ยอมรับ (Boy Cott) 2) การนั่งประท้วงอย่างสันติ (Sit-in) 3) การโดยสารเพื่อเสรีภาพ (Freedom Rides) 4) การเดินประท้วง (Community-Wide Protest Campaigns) และ 5) การก่อจลาจลในเมือง (Doug McAdam, 1983, p.736-754)

      ทั้งนี้ แนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับมุมมองของนักวิชาการอย่าง John D. McCarthy และ Mayer N. Zald ที่ชี้ว่าการเคลื่อนไหวด้านสิทธิที่ดินในไทย เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างทางสังคมและการเมือง ซึ่งต้องอาศัยการกระจายอำนาจและการปฏิรูปที่ดินอย่างแท้จริง (John D. McCarthy and Mayer N. Zald, 2015, p.159-162)



ข้อเสนอเชิงนโยบาย: จะเดินไปข้างหน้าอย่างไรในพื้นที่ที่มีรอยแผล?

      จากข้อวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาที่ดิน นักวิชาการไทยจำนวนมากได้เสนอแนวทางในการปฏิรูประบบการจัดการที่ดิน เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและความยั่งยืน โดยข้อเสนอหลักประกอบด้วย (ผาสุก พงษ์ไพจิตร, 2567, น.60-64):




สู่สังคมที่ดินเป็นธรรม: เมื่อการกระจายอำนาจคือคำตอบ

      ปัญหาที่ดินในประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียงประเด็นทางเศรษฐกิจหรือกฎหมายเท่านั้น แต่เป็นคำถามสำคัญของความยุติธรรมทางสังคม การบริหารจัดการที่ดินของรัฐในอดีตเน้นการควบคุมผ่านกลไกกฎหมายที่จำกัดสิทธิของประชาชน แต่เสียงเรียกร้องจากขบวนการประชาชนและข้อเสนอจากนักวิชาการ ได้เปิดแนวทางใหม่ที่มุ่งเน้นการกระจายอำนาจ การสร้างความเป็นธรรมในการถือครอง และการยอมรับสิทธิของชุมชน หากรัฐสามารถตอบสนองต่อข้อเสนอเหล่านี้ได้อย่างจริงจัง นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมที่ดินเป็นธรรมในประเทศไทยอย่างแท้จริง




อ้างอิง







ธนากรณ์ ทำทอง