ทุกมุมเมือง มีเรื่องเล่า
แน่นอนว่า ทุกครั้งที่เราเตรียมตัวเดินทางไปต่างประเทศ หนึ่งในสิ่งที่เราคิดถึงเป็นอันดับต้น ๆ นอกเหนือจากการจองตั๋วเครื่องบิน เช็กสภาพอากาศ และวางแผนการท่องเที่ยวแล้วก็คือ “การแลกเงิน” เรามักจะต้องจัดเตรียมสกุลเงินของประเทศที่เราจะไปไว้ล่วงหน้าเสมอ เพราะนั่นคือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ทริปของเราราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง อาหาร ของฝาก หรือแม้แต่ขนมน้ำในร้านสะดวกซื้อ แต่สำหรับทริปเซี่ยงไฮ้ในปี 2024 ที่ผ่านมา… เราแทบไม่ได้แตะเงินสดเลย ไม่ใช่เพราะเราเตรียมตัวไม่ดี แต่เพราะว่า ที่นี่…เงินสดไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วจริง ๆ
เซี่ยงไฮ้ไม่ได้เป็นเพียงเมืองใหญ่ที่ทันสมัยที่สุดของจีนเท่านั้น แต่มันคือสนามทดลองจริงของ “สังคมไร้เงินสด” (Cashless Society) ที่จีนผลักดันมาเกือบสองทศวรรษ เมืองนี้ไม่ได้แค่มีรถไฟใต้ดินที่แม่นยำ หรือห้างหรูระดับโลก แต่ยังเป็นพื้นที่ที่คุณสามารถใช้มือถือเครื่องเดียวใช้ชีวิตได้ตั้งแต่เช้าจนเข้านอน—โดยไม่ต้องมีเงินสดติดกระเป๋าแม้แต่หยวนเดียว
หากลองย้อนมองการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของจีนในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าการเติบโตของเมืองไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ตึกสูงหรือโครงสร้างพื้นฐาน แต่รวมถึงพฤติกรรมของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างลึกซึ้ง หนึ่งในนั้นคือการเปลี่ยนผ่านจากสังคมที่เคยพึ่งพาเงินสด มาเป็น “สังคมไร้เงินสด” อย่างเต็มรูปแบบ และเซี่ยงไฮ้ก็คือหนึ่งในเมืองที่สะท้อนภาพนั้นได้ชัดเจนที่สุด จีนไม่ได้เข้าสู่ยุค Cashless เพราะ “เท่” หรือเพราะเป็นประเทศเทคโนโลยีล้ำหน้าอย่างที่คนภายนอกเข้าใจ หากแต่มันเริ่มต้นจากข้อจำกัดพื้นฐานทางการเงินของประเทศเอง ในช่วงทศวรรษ 2000 ระบบธนาคารของจีนยังไม่สามารถให้บริการได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ บัตรเครดิตมีการใช้งานจำกัด และสัดส่วนของคนที่มีบัญชีธนาคารก็ยังน้อยกว่าหลายประเทศพัฒนาแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ผลักให้ “มือถือ” กลายมาเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงบริการทางการเงิน
และเมื่อสมาร์ทโฟนเริ่มแพร่หลายมากขึ้น บวกกับความพร้อมของแพลตฟอร์มอย่าง Alipay ของ Alibaba และ WeChat Pay ของ Tencent ที่ให้บริการชำระเงินแบบ QR Code ได้ง่ายเพียงสแกน ก็ยิ่งทำให้คนจีนทุกกลุ่มวัยหันมาใช้ชีวิตผ่านจอมือถืออย่างรวดเร็ว พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสด เด็กมัธยม คนทำงาน จนถึงผู้สูงวัย ต่างมี “แอป” ที่ใช้จ่ายได้ทุกอย่างตั้งแต่ค่ารถเมล์จนถึงซื้อถุงเท้าริมทาง
รัฐบาลจีนเองก็ไม่ได้ปล่อยให้พฤติกรรมนี้เติบโตตามธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังหนุนเสริมด้วยนโยบายระดับชาติต่อเนื่อง รวมถึงการทดลองใช้เงินหยวนดิจิทัล (Digital Yuan หรือ e-CNY) ที่ธนาคารกลางของจีนเป็นผู้พัฒนา เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเศรษฐกิจที่ไม่ต้องพิมพ์ธนบัตรอีกต่อไป
แน่นอนว่า การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ได้ราบรื่นไปเสียทั้งหมด ในช่วงแรกมีเสียงกังวลจากผู้สูงวัยที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่มีบัญชีธนาคารจีนจึงไม่สามารถใช้บริการพื้นฐานอย่างการขึ้นแท็กซี่หรือซื้อของในร้านสะดวกซื้อได้ ด้วยเหตุนี้เอง รัฐบาลจีนจึงต้องกลับมาทบทวนและออกมาตรการบังคับให้ร้านค้าที่ยังเปิดให้บริการอยู่ ต้อง “รับเงินสด” ควบคู่กับระบบดิจิทัล เพื่อไม่ให้เกิดการถูกกีดกันทางการเงิน (financial exclusion) กับประชาชนบางกลุ่ม แต่ถึงกระนั้น การใช้เงินดิจิทัลในจีนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นพฤติกรรมปกติในชีวิตประจำวันของผู้คน ปัจจุบัน ข้อมูลจาก Brookings Institution ระบุว่า มูลค่าการชำระเงินผ่านมือถือในจีนมีมากกว่า 350 ล้านล้านหยวนต่อปี และจีนกลายเป็นประเทศที่ใช้ e-payment มากที่สุดในโลก ในขณะที่ The Diplomat เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Cashless Revolution” ของแท้ เพราะมันไม่ได้เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนวิธีจ่ายเงิน แต่เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต และเปลี่ยนภูมิทัศน์ของเมืองไปด้วย
แม้เราจะรู้จากข้อมูลและสถิติมากมายว่า “จีนเป็นประเทศไร้เงินสด” แต่เมื่อได้มาเหยียบเซี่ยงไฮ้จริง ๆ เราถึงได้เข้าใจว่าคำว่า “ไร้เงินสด” ที่แท้จริงเป็นอย่างไร ทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ถูกบีบอัดอยู่ในมือถือเครื่องเดียว และมันไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่มันเป็น “วัฒนธรรม” ที่แทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คนทุกวัย
ทันทีที่เราก้าวลงจากสนามบินเซี่ยงไฮ้ ผมก็สัมผัสได้ถึงความต่างของเมืองนี้จากบ้านเราอย่างชัดเจน และสิ่งแรกที่รู้สึกว่า “ขาดไม่ได้” ไม่ใช่ซิมโทรศัพท์ ไม่ใช่พ็อกเก็ตไวไฟ แต่คือการมี “แอปการเงินติดเครื่อง” อย่าง Alipay หรือ WeChat Pay เพราะทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน—ตั้งแต่ซื้อน้ำขวดแรกที่สนามบิน ไปจนถึงค่ารถไฟใต้ดิน หรือซื้อธูปไหว้พระ—ล้วนถูกเชื่อมโยงด้วย QR Code ทั้งสิ้น
สองแอปนี้เปรียบได้กับ “กระเป๋าตังค์ดิจิทัล” ที่ครอบคลุมทั้งระบบเศรษฐกิจของประเทศจีน โดย Alipay พัฒนาขึ้นโดย Ant Group ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Alibaba ขณะที่ WeChat Pay เป็นบริการของ Tencent ที่ผูกอยู่กับแอปแชตชื่อดังอย่าง WeChat ทั้งสองแอปมีผู้ใช้งานรวมกันกว่า 1 พันล้านคน และมีระบบที่รองรับทุกอย่างตั้งแต่จ่ายค่าสาธารณูปโภค ไปจนถึงจองตั๋วคอนเสิร์ต เรียกได้ว่าหากไม่มีแอปเหล่านี้ การใช้ชีวิตในเซี่ยงไฮ้จะ “ติดขัด” แทบทุกมิติ
การนั่ง MRT ในเซี่ยงไฮ้คือประสบการณ์ที่เหมือนหลุดเข้ามาในเมืองอนาคตที่เคยเห็นในสารคดี หรือซีรีส์จีนแนวไซไฟ เราแค่เปิดแอปขึ้นมา—ไม่ต้องซื้อตั๋ว ไม่ต้องกดบัตร ไม่ต้องเข้าแถว—แล้วแตะโทรศัพท์ผ่านประตูทางเข้า ระบบจะตัดเงินอัตโนมัติหลังจากเราลงที่สถานีปลายทาง รวดเร็วและสะดวกจนอดเปรียบเทียบกับบ้านเราไม่ได้ /p>
ค่าโดยสารเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3-5 หยวน หรือราว 15–25 บาทไทย ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับระยะทางและจำนวนสายที่เชื่อมต่อทั่วเมือง ข้อมูลจาก Shanghai Metro ระบุว่า เครือข่าย MRT ของเมืองมีมากกว่า 500 สถานี และรองรับผู้โดยสารวันละเกือบ 10 ล้านคน ระบบ Cashless นี้ช่วยลดเวลา ลดคิว และลดความยุ่งยากในการใช้งานอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญ—ไม่มีระบบนี้ก็แทบจะขึ้นรถไฟไม่ได้เลย
ใครจะคิดว่า “การขูดหวย” ซึ่งเป็นภาพคุ้นตาของคนจีนมานาน จะเปลี่ยนไปอย่างล้ำสมัยขนาดนี้ บนถนนหนานจิงลู่ ซึ่งเป็นถนนช้อปปิ้งสายหลักของเซี่ยงไฮ้ เราเห็นเครื่องขูดหวยแบบตั้งโต๊ะ พร้อมแปะ QR Code ขนาดใหญ่ไว้ด้านข้าง ไม่มีเจ้าหน้าที่ ไม่มีแคชเชียร์ และแน่นอน… ไม่มีเงินสด
ผู้คนเดินผ่านแวะหยิบแผ่นหวย ขูด แล้วจ่ายเงินผ่านมือถือทันทีในเวลาไม่ถึงนาที ความน่าสนใจคือ การซื้อหวยผ่านระบบดิจิทัลนี้ไม่ได้ลดความเข้มข้นของวัฒนธรรมเดิมเลย ตรงกันข้าม มันคือการ “ปรับตัว” ให้เข้ากับยุคสมัยโดยไม่ทำให้รากเหง้าทางวัฒนธรรมหล่นหายไป
การได้เข้าวัดในต่างแดนเสมือนเป็นการซึมซับวัฒนธรรมผ่าน “ความศรัทธา” แต่ในวัดแห่งหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ เราได้เห็นความศรัทธาที่จับมือกับเทคโนโลยีได้อย่างน่าทึ่ง จุดซื้อธูป-เทียนตั้งอยู่แบบไม่มีคนเฝ้า ไม่มีตู้เหรียญ ไม่มีตะกร้าหยอดเงิน—มีเพียง QR Code และป้ายราคาที่ชัดเจนติดอยู่ด้านหน้า
เมื่อเราเลือกธูปเสร็จ ก็แค่เปิดแอป สแกน และกดยืนยัน แค่นั้น… “การทำบุญ” ก็เสร็จสิ้นโดยไม่มีเงินสดสักหยวน มันทำให้รู้สึกได้ว่า แม้จะไร้เงินสด แต่ “คุณค่าทางจิตใจ” ก็ยังส่งผ่านได้ไม่ต่างจากเดิมเลย
จักรยานสีเหลือง สีส้ม สีเขียว จอดเรียงกันเป็นระเบียบอยู่ทุกหัวมุมถนน พร้อมให้ใช้งานแบบไม่ต้องสมัครสมาชิก ไม่ต้องจ่ายเงินสด เพียงแค่เปิดแอป สแกน QR Code บนแฮนด์ แล้วจักรยานก็ “ปลดล็อก” พร้อมใช้งานทันที!
นี่คือหนึ่งในบริการที่เป็นมิตรที่สุดต่อทั้งนักท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม ราคาถูกมาก แค่ไม่กี่หยวนต่อชั่วโมง และที่สำคัญคือมีระบบติดตามเส้นทาง ปักหมุดปลายทาง และแจ้งเตือนให้จอดในจุดที่ถูกต้อง เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนเมืองให้ “ขี่ได้” โดยแท้
ถ้าคุณนึกภาพร้านข้าวแกงริมถนนที่ต้องหยอดเหรียญซื้ออาหารได้ยาก… ลองมาเซี่ยงไฮ้แล้วจะรู้ว่า “มันมีจริง” ตู้กดอัตโนมัติหน้าห้างสามารถกดอาหารร้อน ๆ แบบครบชุดได้ด้วยการจ่ายผ่านมือถือ—โดยไม่ต้องมีพนักงานหรือเงินทอนสักบาทเดียว
แม้แต่ร้านข้าวมันไก่ริมถนนในย่านที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว ก็มี QR Code แปะไว้เด่นชัดหน้าร้าน หากคุณไม่ยื่นมือถือให้พนักงานสแกน อาจจะไม่มีใครรู้เลยว่าคุณต้องการสั่งอาหาร เพราะ “ลูกค้า” ที่แท้จริงคือคนที่มีแอปในมือ ไม่ใช่คนที่ถือธนบัตร
เมื่อเราเดินทางกลับถึงไทย แล้วหันไปเปิดกระเป๋าสตางค์ หยิบเหรียญ หาธนบัตรเพื่อจ่ายค่าแท็กซี่หรือซื้อของข้างทาง มันกลับรู้สึก “แปลก ๆ” อย่างบอกไม่ถูก เพราะเพิ่งผ่านช่วงเวลาหลายวันที่อยู่ในเมืองที่ “ไม่ต้องใช้เงินสด” เลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยปลายนิ้วและแอปในมือ นี่ไม่ใช่อนาคตที่กำลังจะมา แต่มันคือ “ความปัจจุบัน” ที่จีน—โดยเฉพาะเซี่ยงไฮ้—ทำให้เราเห็นอย่างเป็นรูปธรรม
แน่นอนว่าการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด 100% อาจไม่ได้สมบูรณ์แบบ หรือเหมาะกับทุกคนเสมอไป แต่สิ่งที่น่าชื่นชมคือการที่เมืองหนึ่งสามารถปรับเปลี่ยน “วิธีการใช้ชีวิต” ของผู้คนทั้งระบบ ผ่านนโยบาย เทคโนโลยี และความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความสะดวก ความปลอดภัย และความเป็นระบบอย่างแท้จริง
การไปเยือนเซี่ยงไฮ้ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้เราได้ลิ้มรสอาหารจีนต้นตำรับหรือชื่นชมสถาปัตยกรรมตระการตาเท่านั้น แต่ยังได้สัมผัส “การใช้ชีวิต” ที่แม้จะดูง่าย แต่เบื้องหลังคือระบบที่ซับซ้อน และการเปลี่ยนผ่านที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง เพราะการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้เริ่มจากเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเสมอไป แต่บางทีมันเริ่มจาก “โจทย์ที่เราต้องการแก้” และความกล้าที่จะลองสิ่งใหม่
และถ้าคุณกำลังสงสัยว่า “เมืองไทยจะไปถึงจุดนั้นได้ไหม?”
ราอยากบอกว่า… คำถามที่น่าสนใจกว่าคือ
“แล้วเราพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปพร้อม ๆ กับมันหรือยัง?”
เชื่อในพลังของการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ สนใจสำรวจเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คน วิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะรากเหง้าอีสาน ชื่นชอบการเดินทางเพื่อเปิดโลกใหม่ ๆ และชอบคลายเครียดด้วยทำอาหาร