ทุกมุมเมือง มีเรื่องเล่า
เมื่อ “พื้นที่สาธารณะ” กลายเป็นความสุขที่จับต้องได้ เซี่ยงไฮ้ในความทรงจำของหลายคนอาจเต็มไปด้วยภาพของตึกระฟ้า ท่าเรือการค้า หรือห้างหรูระดับโลก แต่สำหรับเราผู้เดินทางมาจากเมืองที่ยังไม่แน่ใจว่า “ฟุตปาธคือของใคร” สิ่งที่ทำให้ประทับใจที่สุด กลับไม่ใช่ตึกสูงหรือรถไฟฟ้าเร็วปานจรวด แต่มันคือ “พื้นที่สาธารณะ” ที่มีอยู่แทบทุกระยะที่ก้าวเท้า
ทันทีที่ออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน ลมเย็นที่ปะทะหน้า และกลิ่นต้นไม้จาง ๆ จากสวนริมถนน ก็บอกเราได้ทันทีว่า “เมืองนี้มีคุณภาพชีวิตที่ดี” ไม่ใช่แค่ในเชิงเศรษฐกิจหรือเทคโนโลยี แต่ดีในความหมายที่ “เราอยู่ได้อย่างสบายใจ” มองไปทางไหนก็เห็นพื้นที่ให้คนนั่งพัก ทางเท้ากว้างและเรียบจนแทบลืมไปเลยว่าเคยต้องเดินหลบฝาท่อที่บ้านเกิด ไม่ต้องกลัวน้ำกระเด็น ไม่ต้องเลี้ยวหลบสายไฟ ไม่มีหลุมไม่มีฝุ่น สวนสาธารณะเล็ก ๆ กระจายตัวอยู่เป็นระยะ บ้างเป็นลานกิจกรรม บ้างเป็นพื้นที่สีเขียวริมแม่น้ำ ทุกจุดเหมือนเชิญชวนให้หยุดพัก และบอกเราว่า “คุณสามารถอยู่ตรงนี้ได้โดยไม่ต้องมีจุดประสงค์อะไรเลย” ความเรียบง่ายที่ไม่ต้องตีความ แต่เติมเต็มได้อย่างเหลือเชื่อ และที่น่าทึ่งคือ มันไม่ใช่พื้นที่ที่ถูกสร้างมาเพื่อโชว์ แต่เป็นพื้นที่ที่ “คนใช้จริง” ผู้สูงอายุเดินเล่น เด็กน้อยเตะบอล คนหนุ่มสาวออกกำลังกาย นักท่องเที่ยวนั่งจิบชา มันคือพื้นที่ของ “ทุกคน” อย่างแท้จริง
ในขณะที่เมืองใหญ่อื่น ๆ ทั่วโลกยังต้องถกเถียงกันเรื่อง “ใครควรมีสิทธิในเมือง” เซี่ยงไฮ้ได้แสดงให้เราเห็นแล้วว่า การให้ความสำคัญกับพื้นที่สาธารณะคือคำตอบหนึ่งของ “การมีอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล” และมันไม่ใช่แค่เรื่องของผังเมืองหรืองบประมาณ แต่มันคือ “วิธีคิด” ที่ส่งต่อความสุขได้จริง
ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 เซี่ยงไฮ้เริ่มโครงการพัฒนาเมืองอย่างครอบคลุม “เปลี่ยนแปลงจากอุตสาหกรรมสู่พื้นที่สาธารณะ” โดยเปลี่ยนพื้นที่ริมแม่น้ำหวงผู่จากเขตอุตสาหกรรมให้กลายเป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับประชาชน โครงการนี้ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของเมือง แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเมืองที่เน้นคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นศูนย์กลาง
ในปี 2015 รัฐบาลจีนได้เปิดตัวนโยบาย “การปรับปรุงเมือง” (City Betterment) โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในเมือง ผ่านแนวทางการพัฒนาที่ไม่ใช่เพียงแค่สร้างใหม่หรือขยายตัว แต่คือการปรับปรุง “สิ่งที่มีอยู่แล้ว” ให้ดียิ่งขึ้นอย่างมีส่วนร่วม เซี่ยงไฮ้ได้นำแนวคิดนี้มาสานต่ออย่างจริงจัง ผ่านแผนแม่บท “Shanghai 2035” ซึ่งวางเป้าหมายให้เมืองกลายเป็นหนึ่งในมหานครชั้นนำของโลก โดยมีพื้นที่สาธารณะและสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นหัวใจสำคัญ หนึ่งในโครงการที่เกิดจากแผนนี้คือแนวทาง “การปรับปรุงขนาดเล็ก” (Micro-regeneration) ซึ่งเน้นการฟื้นฟูพื้นที่สาธารณะในระดับชุมชนมากกว่าการรื้อสร้างครั้งใหญ่ ตั้งแต่สวนสาธารณะขนาดเล็ก ลานกิจกรรม ไปจนถึงทางเดินเท้าที่ออกแบบใหม่ให้ “เข้าถึงได้ ใช้งานได้ และเป็นของทุกคน” ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือคนทำงาน
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่ได้เพียงแค่เพิ่มพื้นที่สีเขียวหรือสร้างบรรยากาศดี ๆ เท่านั้น แต่ยังส่งผลจริงจังต่อคุณภาพชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะความรู้สึก “เป็นเจ้าของ” พื้นที่ร่วมกันในชุมชน และการส่งเสริมให้ผู้คนออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น นอกจากนี้ พื้นที่สาธารณะที่ดีเหล่านี้ยังช่วยเติมเต็มเสน่ห์ของเมือง ส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรม
ในวันที่เราใช้ชีวิตอยู่ในเซี่ยงไฮ้ เราไม่ได้รู้สึกเหมือนกำลัง “เดินทางท่องเที่ยว” แต่รู้สึกเหมือนกำลัง “ใช้ชีวิต” และสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกอย่างนั้น ไม่ใช่โรงแรมหรูหรือร้านอาหารดัง แต่คือ “ถนน” “เก้าอี้” และ “ลานโล่ง” ที่เมืองนี้เตรียมไว้ให้ “กับทุกคน”
ถนนที่ทำให้เราอยากเดินทันทีที่เท้าสัมผัสฟุตปาธของเซี่ยงไฮ้ ความรู้สึกแรกคือ “นี่แหละ…คือเมืองที่คนมีสิทธิจะเดิน” ทางเท้ากว้าง เรียบ ไม่มีรอยแตกหรือเศษกระเบื้องให้ต้องคอยระวัง ไม่ต้องกลัวน้ำขังล้นขอบฟุตปาธเมื่อฝนตก และที่สำคัญคือสะอาดจนเราอยากถอดรองเท้าเดิน! ที่น่าประทับใจที่สุดคือการมี “บล็อกนำทางสายตา” (Tactile paving) สำหรับผู้พิการทางสายตา และการออกแบบระดับพื้นต่าง ๆ ที่รองรับรถเข็นหรือผู้ใช้วิลแชร์ได้จริง
ต้นไม้ใหญ่หลายต้นถูกเก็บไว้ ไม่ถูกตัดทิ้งเพื่อสร้างทางเดินหรือทางรถ รถก็เงียบเพราะเป็น EV แทบทั้งหมด บรรยากาศจึงปลอดควัน ปลอดเสียงรบกวน และที่สำคัญ “ปลอดภัย” กับการเดินมากกว่าเมืองไหนที่เคยไปมา เราเดินเที่ยวได้วันละ 15 km. โดยไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะมันเป็นการเดินที่เรา เลือก ที่จะทำ
ที่นั่ง…ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือยคุณจะไม่เข้าใจว่าที่นั่งสาธารณะสำคัญแค่ไหน จนกระทั่งคุณเดินมาแล้วเจอ “เก้าอี้ดี ๆ” ริมถนนในเวลาที่อยากนั่งพัก ที่เซี่ยงไฮ้ มีเก้าอี้ให้คุณเลือกนั่งทั้งในสวน ลานสาธารณะ ริมทางเท้า หรือตามหน้าห้าง ไม่ว่าพื้นที่นั้นจะเป็นของรัฐหรือของเอกชน ทุกที่พร้อมใจทำให้คน รู้สึกว่า “อยู่ได้”
บางจุดมีดีไซน์สนุก ๆ ที่สื่อถึงวัฒนธรรมท้องถิ่น บางจุดเป็นไม้เรียบ ๆ ที่กลมกลืนไปกับสีของธรรมชาติ และที่สำคัญคือ “สะอาด” และ “ปลอดภัย” จนไม่ต้องชั่งใจนั่งเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้แค่สร้างความสะดวก แต่สร้าง “ความเป็นมิตร” ให้เมือง…กับคน
Public space is freedom spaceสิ่งที่เรารักมากที่สุด คือบรรยากาศของ “พื้นที่ที่ทุกคนมีเสรีภาพจะเป็นตัวเอง” ไม่ว่าคุณจะเป็นนักดนตรีข้างถนน กลุ่มวัยรุ่นซ้อมเต้น ครอบครัวที่พาลูกมาเล่นบอล หรือผู้สูงอายุที่ออกกำลังกายตอนเช้า—พื้นที่สาธารณะในเซี่ยงไฮ้รองรับได้หมด
ลานริมแม่น้ำกลายเป็นเวทีสดของคนธรรมดา สวนกลางเมืองกลายเป็นยิมของชาวบ้าน ลานข้างห้างกลายเป็นพื้นที่รวมพลของคนรักเสียงเพลง เมืองนี้ไม่เคยบอกคุณว่า “อย่า” แต่มันเหมือนบอกว่า “เชิญเลย” พื้นที่สาธารณะที่ดี ไม่ใช่แค่กายภาพที่สวยงาม แต่คือการออกแบบที่ เอื้อให้ชีวิตเกิดขึ้นจริง
และนี่แหละ…คือความหมายของ “พื้นที่สาธารณะ” ที่เราคิดว่าควรจะเป็นเมื่อควันบุหรี่กลายเป็นบทสะกดจิตกลางเมืองที่เกือบสมบูรณ์แบบ สิ่งหนึ่งที่เราไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจอในเมืองที่มีระบบการจัดการพื้นที่สาธารณะยอดเยี่ยมขนาดนี้ คือ “ควันบุหรี่” ที่พ่นออกมาจากริมทางเดิน ร้านอาหาร คาเฟ่ หรือแม้กระทั่งในสวนสาธารณะและพื้นที่กิจกรรมที่เปิดให้คนทุกเพศทุกวัยใช้งานร่วมกันได้อย่างเสรี เราเดินผ่านลานหญ้าที่มีเด็กวิ่งเล่น ใกล้ ๆ กันนั้นคือชายวัยกลางคนที่กำลังสูบบุหรี่ พร้อมควันพวยพุ่งขึ้นกลางอากาศ มันไม่ใช่ภาพที่แปลกสำหรับผู้คนในเมืองนี้ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการควบคุมการสูบบุหรี่ในพื้นที่สาธารณะอย่างเข้มงวดอย่าง “ไทย” มันคือความตกใจขั้นสุด
แทนที่เราจะได้ดื่มด่ำกับกลิ่นหอมของดินหลังฝน หรือกลิ่นจาง ๆ ของต้นสนในสวนใจกลางเมือง กลับกลายเป็นกลิ่นบุหรี่ฉุนที่ลอยมาแทบทุกย่างก้าว เราเคยชินกับการต้องหลบควันจากท่อไอเสียในเมืองไทย แต่ในเซี่ยงไฮ้ กลับต้องหลบควันบุหรี่แทน ไม่ว่าจะเดินอยู่บนฟุตปาธริมทาง หรือแม้กระทั่งใน “Shanghai Disneyland” ที่ควรจะเป็นดินแดนแห่งจินตนาการและปลอดภัยสำหรับเด็ก ๆ ควันบุหรี่ก็ยังแอบซุกตัวอยู่ในทุกซอก ทุกมุม
ด้วยความอยากรู้ เลยลองค้นข้อมูลว่า ทำไมคนจีนสูบบุหรี่จัด? เราพบว่าประเทศจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้สูบบุหรี่สูงที่สุดในโลก โดยมีประชากรผู้สูบบุหรี่ราว 300 ล้านคน หรือคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของผู้สูบบุหรี่ทั่วโลก ตามข้อมูลจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) และงานวิจัยจาก The Lancet (2019) ที่เผยว่า 52% ของผู้ชายจีนมีพฤติกรรมสูบบุหรี่เป็นประจำ ขณะที่ผู้หญิงสูบน้อยกว่ามาก ซึ่งชี้ให้เห็นว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องสุขนิสัยส่วนตัว แต่ฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของชายชาวจีนหลายคน นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ยังมักเชื่อมโยงกับการเข้าสังคมทางธุรกิจ การสานสัมพันธ์ทางการค้า หรือแม้แต่ในความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนและครอบครัว การมอบบุหรี่ให้กันจึงยังถูกมองว่าเป็น “มารยาท” หรือ “ของขวัญ” ที่แสดงถึงความเคารพและน้ำใ
แม้จีนจะตระหนักถึงผลกระทบทางสุขภาพจากการสูบบุหรี่ และเริ่มพยายามออกมาตรการควบคุมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เช่น การห้ามโฆษณายาสูบในสื่อสาธารณะ การติดป้ายเตือนสุขภาพบนซองบุหรี่ รวมถึงการจำกัดพื้นที่สูบบุหรี่ในอาคารสาธารณะบางประเภท แต่การบังคับใช้ยังไม่ทั่วถึง และการไม่เคารพกติกาสาธารณะในบางพื้นที่ ยังคงเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อย นอกจากนี้ มาตรการห้ามสูบบุหรี่ในพื้นที่สาธารณะยังอยู่ในสถานะ “สมัครใจ” หรือแล้วแต่ดุลยพินิจของท้องถิ่นเป็นหลัก เซี่ยงไฮ้เองมีข้อห้ามในบางพื้นที่ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน และระบบขนส่งมวลชน แต่สวนสาธารณะ ร้านอาหารข้างทาง หรือทางเท้าส่วนใหญ่กลับยังไม่มีข้อบังคับชัดเจน ทำให้ภาพของ “ควันลอยคลุ้ง” ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
จะว่าไป สิ่งที่ทำให้เราตกหลุมรักเซี่ยงไฮ้ในครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะแสงไฟ ไม่ใช่เพราะความล้ำสมัย แต่คือ “พื้นที่สาธารณะ” ที่ทั้งมี และทั้งดีแบบที่เราไม่เคยพบเจอจากที่ไหนมาก่อนในชีวิตประจำวัน ความประทับใจมันซึมลึกตั้งแต่เท้าแตะฟุตปาธที่เรียบเนียน ไม่มีบ่อ ไม่มีฝาท่อโยกเยก ไม่มีน้ำกระเด็นใส่รองเท้า มีแต่ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ลมเย็น และที่นั่งพักผ่อนกระจายทั่วเมืองอย่างใส่ใจ เราอดไม่ได้ที่จะเผลอเปรียบเทียบกลับมายังบ้านเกิด เพราะอยากให้เมืองไทยสามารถสร้างพื้นที่แบบนี้ได้บ้าง อยากให้คนไทยได้มีโอกาสออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านกันมากขึ้น ไม่ใช่แค่ผ่านห้างหรือศูนย์การค้า แต่เป็น “ชีวิตจริง” ที่ได้นั่งเล่นกลางสวนสาธารณะ เดินช้า ๆ บนทางเท้าที่ไม่ต้องกังวลเรื่องรถ หรือแค่ได้นั่งเงียบ ๆ ริมแม่น้ำโดยไม่ต้องมีเป้าหมาย
แต่ความจริงก็คือ การจะทำให้คนออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะเรามี “พื้นที่” การสร้างทางเดินหรือสวนหย่อมเพียงอย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอ ถ้าขาดองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ช่วยเติมเต็ม ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งมวลชนที่สะดวกปลอดภัย กิจกรรมที่หลากหลายให้พื้นที่มีชีวิต นโยบายรัฐที่เห็นค่าของสุขภาวะประชาชน หรือการเข้ามาต่อยอดอย่างสร้างสรรค์ของภาคเอกชน ทุกฟันเฟืองต้องเคลื่อนไปด้วยกันและมองเป้าหมายเดียวกัน พื้นที่ทางกายภาพจะได้ไม่กลายเป็นเพียงของประดับเมือง แต่กลายเป็นพื้นที่ของชีวิตจริง
อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายมาก คือ “ควันบุหรี่” ที่แทบจะมีอยู่ทุกมุมเมือง ไม่ว่าจะเป็นข้างถนน ในสวนสาธารณะ ร้านอาหาร หรือแม้แต่วัดและสวนในดิสนีย์แลนด์ ที่เราคิดว่าคงเป็น Safe zone สำหรับเด็ก กลับยังมีคนสูบบุหรี่ได้อย่างเปิดเผย ควันลอยวนจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของอากาศที่ต้องหายใจแทนจะได้สูดกลิ่นต้นไม้หรือไอเย็นจากแม่น้ำ มันน่าหดหู่ที่พื้นที่สาธารณะที่น่ารักขนาดนั้น กลับมี “คุณภาพ” ที่ถูกลดทอนลงจากพฤติกรรมที่ยังไม่ถูกจัดการอย่างจริงจัง เราอยากให้มันดีกว่านี้ — ไม่ใช่แค่สวยกว่า แต่ “น่าอยู่” และ “อยู่ได้” จริง ๆ
สำหรับเมืองไทย ถึงแม้เรายังมีฟุตปาธที่ต้องระวังเหยียบฝาท่อ หรือเดินเลี้ยวหลบเสาไฟ แต่เราก็ยังโชคดีอยู่ไม่น้อย เพราะบ้านเรามี กฎหมายควบคุมการสูบบุหรี่ในพื้นที่สาธารณะ ที่เข้มงวดพอสมควร ภายใต้ พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ที่ห้ามสูบบุหรี่ในสวนสาธารณะ ชายหาด สถานีขนส่ง อาคารสำนักงาน และพื้นที่สาธารณะอื่น ๆ อีกมาก นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องจากหน่วยงานอย่าง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่เดินหน้าสื่อสารกับเยาวชน สร้างความตระหนักถึงอันตรายจากควันบุหรี่มือสอง และผลักดันนโยบายที่เอื้อต่อสังคมปลอดควัน
เราอาจยังไม่ใช่เมืองที่เดินสะดวกที่สุด ยังมีเรื่องให้ต้องปรับปรุงอีกมากในด้านกายภาพ แต่ถ้ามองในอีกมุม เราก็ยังมีของขวัญประจำวันคือ “อากาศที่สูดได้อย่างมั่นใจ” และ “พื้นที่ปลอดบุหรี่” ที่เป็นจริงมากกว่าแค่คำพูด
อ้างอิง
เชื่อในพลังของการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ สนใจสำรวจเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คน วิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะรากเหง้าอีสาน ชื่นชอบการเดินทางเพื่อเปิดโลกใหม่ ๆ และชอบคลายเครียดด้วยทำอาหาร