เลิกกั๊กแล้วรักก่อนนะเตง
เปิดตัวกัน เด เด เดบิ๊วเลยมั๊ย…
การมาของซีรีส์รักใส ๆ ในวัยเรียนอย่าง ‘Gelboys สถานะกั๊กใจ’ ชวนให้ใครหลายคนนึกย้อนไปถึงวัยเรียนของตัวเอง และคนที่ตื่นเต้นกับคอนเท้นต์นี้คงหนีไม่พ้นวัยที่โตมากับเพลงกามิกาเซ่ หรือรุ่นพ่อแม่ของตัวละครในเรื่อง ที่รู้สึกสนุกไปกับทุกประสบการณ์ที่เติบโตมาและรู้สึกด้วยว่าตัวเองแก่ขึ้นมากไปพร้อมกัน และแน่นอนว่าซีรีส์เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นจดหมายเหตุให้วัยรุ่น Gen Z หวนกลับมาถึงวัยเรียนของตัวเองเช่นเดียวกัน
ประกอบกับช่วงที่ผ่านมา มีกระแสการพูดถึงคนแต่ละ Gen ให้เห็นบ่อยขึ้นด้วย เช่น ‘ทำงานกับคนเจน Z เป็นแบบนั้น, Baby boomers เป็นแบบนี้’ ทำให้ผู้เขียนเองก็นึกสนุกที่จะชวนผู้อ่านมาร่วมค้นหาไปด้วยกันว่า อะไรที่ทำให้คนแต่ละวัยแตกต่างกัน ถึงขั้นแบ่งเส้นได้ว่า เพราะเราคนละ Gen กัน โดยจะขอมี challenge เล็ก ๆ ให้ผู้อ่านต่างวัยร่วมสืบค้นข้อมูลต่อถึงประสบการณ์ที่ผู้อ่านเองก็ไม่รู้จักดีพอจากในบทความนี้ ให้สมกับเป็น ‘สนามชวนเล่น’ ของ The space กันสักหน่อย
เรามาเริ่มหาเบาะแสเรื่องนี้จากการทำความเข้าใจคนแต่ละ Gen กันก่อนเลยว่า ยุคสมัยที่เราต่างเติบโตมาเป็นอย่างไร?
มีอะไรให้เราเรียนให้เราเล่นกันบ้าง? แล้วช่วงเวลานั้นเราสนใจอะไรกัน?
ลองมาวิเคราะห์ผ่านประสบการณ์ของแต่ละช่วงวัยจากข้อมูลนี้กันดูนะครับ
เป็นยุคหลังสงครามที่สังคมเริ่มกลับมาปกติสุข ยุคที่รัฐบาลสนับสนุนการเกิดของประชากรเพื่อเพิ่มกำลังในการฟื้นฟูประเทศ หลายครอบครัวเลยมีพี่น้องร่วมท้องกันจำนวนมาก จึงถูกขนานนามว่าเป็นยุค Baby boom
คน Gen นี้เติบโตขึ้นมาด้วยการรับรู้ความยากลำบากของพ่อแม่ จึงใช้ชีวิตเพื่อการทำงานอย่างอดทน เคารพกฎเกณฑ์ของสังคม ให้ความสำคัญกับงานมากกว่าครอบครัว
ด้านการเรียนรู้ คน Gen นี้คุ้นเคยกับการเรียนการสอนที่ครูเป็นจุดศูนย์กลาง (lecture base learning) ให้ความสำคัญกับประสบการณ์จริง ที่บอกเล่าผ่านผู้มีประสบการณ์ นิยมเรียนรู้ผ่านการเข้าฟัง หรือการอ่าน มากกว่าการใช้เทคโนโลยี แต่ก็ยังมีเทคโนโลยีด้านความบันเทิงให้เข้าถึงอยู่บ้างจากหนังสือพิมพ์ จดหมาย วิทยุ และโทรทัศน์
เป็นยุคที่โลกเริ่มเห็นความสำคัญของความสันติสุข ยุคของการเร่งสร้างเนื้อสร้างตัวจนมีความมั่งคั่งมากขึ้น เพราะคนรุ่นก่อนเข้าใจความลำบากมามากแล้ว ทำให้ประชากรในยุคนี้มีน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
คนที่เกิดในยุคนี้ถูกหล่อหลอมให้มีความความอดทน ยังคงเห็นความสำคัญของการทำงานหนักอยู่ แต่ก็รู้จักปรับตัวไปตามความเปลี่ยนแปลง
ด้านการเรียนรู้ คน Gen X เริ่มคุ้นเคยกับการเรียนการสอนแบบผสมผสาน มีพื้นที่ระหว่างการเรียนในห้องเรียนและการเรียนรู้นอกห้องเรียนด้วยตัวเอง ให้ความสำคัญกับการฝึกฝน ลงมือทำ
แม้จะอยู่ในยุคเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์แล้ว แต่ก็ยังไม่มีบทบาทมากเหมือนปัจจุบัน ผู้คนยังคงพึ่งพาสื่อสิ่งพิมพ์มากกว่าสื่อออนไลน์ แต่ก็ช่องทางสื่อสารใหม่อย่าง เพจเจอร์ ที่ใช้ส่งข้อความผ่าน โอเปอเรเตอร์ เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในยุคนี้ จนถึงปัจจุบัน Gen X นับว่าเป็นกลุ่มคนที่ผ่านการปรับตัวมาตลอดชีวิต จากยุคแรกของคอมพิวเตอร์สู่ยุคสมาร์ทโฟน และพร้อมจะปรับตัวต่อไปในอนาคต
เป็นยุคที่เติบโตมาพร้อมเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารที่สะดวกสบาย หรือยุค Y2K เช่น มีโทรศัพท์มือถือรุ่นนิยมอย่าง Nokia 3310 เพื่อใช้โทรหรือส่งข้อความ SMS และเริ่มมีแพลตฟอร์มออนไลน์ อย่าง E-mail, msn, Hi5 เป็นต้น
คน Gen Y โตมาในยุคที่เห็นความแตกต่างระหว่าง Baby boomer และ Gen X ทำให้มีมุมมองต่อการใช้ชีวิตของตัวเองที่ชัดเจนขึ้น มีอิสระทางความคิดมากขึ้น ชอบแสดงออก มีความคิดสร้างสรรค์ และก้าวทันทุกเทคโนโลยีมาตลอดชีวิต ทำให้เก่งการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ เห็นได้จากอาชีพแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นมากมายในปัจจุบันจากความสร้างสรรค์ของคน Gen นี้นั่นเอง
ด้านการเรียนรู้ คน Gen Y ชอบการเรียนรู้แบบยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิม สนใจการพัฒนาทักษะอาชีพมากกว่าการท่องจำ ชอบทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
คน Gen Z เติบโตมาแบบ digital native พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกด้านเทคโนโลยีรอบตัว จึงมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น กล้าคิดกล้าทำมากขึ้น เราจึงได้เห็นความกล้าแสดงออก ความเป็นตัวของตัวเอง และการยอมรับในความหลากหลายมากขึ้นในสังคมปัจจุบัน
เพราะเกิดในยุคของสมาร์ทโฟน ทำให้คน Gen Z สามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มดิจิทัลโดยง่าย เชี่ยวชาญเทคโนโลยีในทุกรูปแบบ แต่ก็ส่งผลให้คนรุ่นนี้มีสมาธิและความสนใจสั้นลง จึงชอบเรียนรู้อะไรที่สั้นกระชับ เข้าใจง่าย เน้นการมีส่วนร่วม สนุก และได้ลงมือทำ
ถ้าว่า Gen Z เกิดมาพร้อมเทคโนโลยีขั้นสุดแล้ว Gen Alpha นั้นสุดยิ่งกว่า เพราะชีวิตผูกติดกับเทคโนโลยีตลอดเวลา การมีตัวอย่างของคนรุ่นก่อนใน Social media ทำให้กรอบความคิดของ Gen นี้มุ่งเน้นไปทางการเรียนรู้ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยมีต้นแบบเป็น Influencer ที่ตัวเองสนใจ เนื่องจากปัจจุบันคน Gen นี้มีมีอายุสูงสุดไม่เกิน 15 ปี จึงไม่อาจมองเห็นภาพการใช้ชีวิตในอนาคตของพวกเขาได้ แต่อาจกล่าวได้ว่าคน Gen นี้จะเป็นทรัพยากรที่ฉลาดล้ำ และเป็นต้นแบบสำคัญของผู้คนในศตวรรษที่ 22 ต่อไป
เมื่อวิเคราะห์จากข้อมูลนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ทำให้คนแต่ละ Gen แตกต่างกัน น่าจะเป็นเรื่องของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิด การตัดสินใจ และการใช้ชีวิตของผู้คน โดยประสบการณ์ในแต่ละช่วงเวลานั้น ๆ ต่างก็หล่อหลอมให้ผู้คนเรียนรู้ที่จะอยู่รอด ปลอดภัย และได้ใช้ชีวิตของตัวเอง
“การศึกษา” เมื่อพูดถึงคำนี้ในปัจจุบัน จะเห็นภาพผู้คนในยุคใหม่เข้าถึงการศึกษาในระบบกันมากขึ้น เมื่อเด็กที่เติบโตมาถึงกำหนดวัยเรียน ครอบครัวก็จะสนับสนุนให้ลูกหลานเข้าเรียนหนังสือกันถ้วนหน้า เพราะปัญหาจากอดีตพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการศึกษานั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์ทุกคน แต่ทว่า รูปแบบการเรียนการสอนในประเทศของเรา ยังมีหลายประเด็นที่เป็นปัญหาและถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมมาโดยตลอด ซึ่งพอจะบอกเล่าประเด็นสำคัญได้ดังนี้
เน้นท่องจำมากกว่าคิดวิเคราะห์ ท่องเพราะออกสอบ จำแล้วเอาไปตอบในข้อสอบเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันมีวิทยาการใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมายเกินกว่าความสามารถของมนุษย์จะจดจำได้ ถ้ามัวแต่จำแต่ไม่เน้นฝึกคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา (critical thinking) แล้วจะทำเป็นเมื่อไหร่กัน
หลักสูตรล้าหลังไม่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ เนื้อหาวิชาต่าง ๆ ยังใช้แนวทางเก่าและไม่เชื่อมโยงกับทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือ เศรษฐกิจสร้างสรรค์
เน้นคะแนนมากกว่าทักษะ มุ่งเน้นไปที่การสอบวัดระดับ ทำให้เกิดแรงกดดันสูง ลดทอนโอกาสในการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งคะแนนที่ได้มาอาจไม่สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของผู้เรียน
ขาดการส่งเสริมทักษะ โดยเฉพาะทักษะอาชีพและการเรียนรู้ตามความถนัด ภาพลักษณ์ของสายอาชีพถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ด้อยกว่าในสังคม ทั้งที่ในทุกโรงเรียนควรจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ค้นหาตัวเองตามความสามารถที่เหมาะสม
ขาดการพัฒนาทักษะภาษาที่สาม เพราะเน้นท่องจำมากกว่าเน้นใช้งาน ทำให้ผู้เรียนยังไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษซึ่งถือเป็นภาษาสากลได้ดีพอ
ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา แน่นอนว่าโรงเรียนในเมือง โรงเรียนขนาดใหญ่ โรงเรียนเอกชน จะมีทรัพยากรที่มีคุณภาพกว่าโรงเรียนในชนบท รวมถึงฐานะทางเศรษฐกิจของครัวเรือนก็เป็นความเหลื่อมล้ำที่ทำให้เด็กบางคนขาดโอกาสเข้าถึงติวเตอร์หรือสถาบันกวดวิชาที่ดันสอนได้เข้าใจกว่าในชั้นเรียน
ภาระงานที่หลากหลายของครู ครูยุคใหม่เป็นมากกว่าครู เพราะต้องเป็นธุรการ ต้องเข้าอบรม ต้องทำผลงาน ต้องผ่านประเมินผล ความเต็มที่กับการเรียนการสอนจึงถูกลดทอนไป เราจึงไม่มีครูที่สอนเก่ง ๆ สอนได้สนุกและน่าสนใจเหมือนในโรงเรียนกวดวิชา และถึงแม้ว่าจะมีระบบฝึกอบรมที่ดึงเวลาครูออกไปก็ยังไม่ช่วยพัฒนาแนวคิดการสอนใหม่ ๆ ได้ อาจเป็นเพราะหลักสูตรเหล่านั้นไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอเช่นกัน
ตลอดช่วงเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา วิถีการเรียนรู้ของผู้คนในแต่ละเจเนอเรชันมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยได้รับอิทธิพลจากปัจจัยแวดล้อมทางสังคม เทคโนโลยี และแนวคิดด้านการศึกษาในแต่ละยุค Baby Boomers เติบโตมากับระบบการเรียนรู้แบบดั้งเดิมที่เน้นการบรรยายและการอ่านหนังสือเป็นหลัก ขณะที่ Gen X เริ่มมีพื้นที่ในการเรียนรู้นอกห้องเรียนมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการลงมือปฏิบัติจริง เมื่อเข้าสู่ยุคของ Gen Y ซึ่งเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล การเรียนรู้จึงเริ่มเปลี่ยนไปสู่รูปแบบที่ยืดหยุ่นขึ้น เปิดโอกาสให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะเฉพาะตัวและเรียนรู้ผ่านช่องทางที่หลากหลาย ในขณะที่ Gen Z และ Gen Alpha ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้พวกเขาคุ้นเคยกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์และแพลตฟอร์มอินเทอร์แอคทีฟ ซึ่งเน้นความกระชับ สนุก และมีส่วนร่วมมากขึ้น
จากความแตกต่างของวิถีการเรียนรู้ในแต่ละยุค ทำให้เกิดแนวทางการเรียนรู้ที่หลากหลาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ไม่มีรูปแบบการเรียนรู้ใดที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน แต่ละเจเนอเรชันมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง และรับรู้ข้อมูลในแบบที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา การเข้าใจความแตกต่างนี้เป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบระบบการศึกษาที่ตอบโจทย์ผู้เรียนทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง การใช้สื่อดิจิทัล หรือการบูรณาการเทคโนโลยีกับวิธีการเรียนรู้แบบเดิม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการพัฒนาทักษะและความรู้ของผู้คนในแต่ละเจเนอเรชัน
นักออกแบบที่ชอบคิด ชอบเล่น ชอบเที่ยว ชอบเรียนรู้ และชอบหาทำอะไร ๆ ที่สนุกอยู่ตลอดเวลา
เพราะเชื่อว่าการเริ่มต้นด้วยความสนุกจะช่วยปลุกการเรียนรู้สิ่งรอบตัวได้เสมอ